27/6/51

เย็นวันศุกร์

ห่างหายจากการเขียนบล็อคมานาน วันนี้เป็นคืนวันศุกร์
ยังรู้สึกไม่ค่อยชินกันความว่างเปล่าของเวลา ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีสักเท่าไหร่
ปกติแล้ว เย็นวันศุกร์อย่างนี้ ผมคงจะไปดูหนัง หรือ ไปหาอะไรกิน หรือไปไหนสักที่
กับใครบางคน ... แต่เดี๋ยวนี้เรื่มดีหน่อยตรงที่พี่จัดตารางให้ผมต้องไปรับหลานกลับจาก
ตีแบตตอนสองทุ่ม อย่างนี้แล้วทุกเย็นวันศุกร์ผมเลยมีตารางเวลาชดเชย เพื่อไม่ให้ชีวิตว่างเปล่าอีก
มันก็ดีนะ ได้อยู่กับหลาน ได้ฟังเจ้าใบเตยคุยโม้โอ้อวด เรื่องต่างๆ ทั้งที่โรงเรียน ทั้งที่สนามแบต
เด็กก็แบบนี้หล่ะ เ่ก่งซะทุกเรื่องเลยที่ตัวเองรู้ .. เราเองก็ได้แต่สอนในสิ่งที่เห็นว่ามันไม่ถูกไม่ควร

การเขียนบล็อคแบบนี้มันก็ดีอย่างนะ เหมือนเป็นการฝึกที่จะให้
เราระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เป็นเรื่อนราว เรียบเรียงข้อความ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
มีอยู่หลายครั้งที่ผมพยายามจะบรรยายความคิดของตัวเองออกมาให้คนอื่น
ฟังเรา เข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะบอก บางครั้งเราก็สับสนกับสิ่งที่อยู่ในความคิด
บรรยายออกมาแล้วมันไม่ปะติดปะต่อ ใช้คำไ่ม่ถูกต้อง แบบนี้น่ะครับที่ตอนเด็กครูพยายาม
จะให้เราเขียนเรียงความกัน ..

การอ่านสำคัญพอๆกับการเขียนนะผมว่า .. การอ่านต้องใช้สมาธิ เช่นเดียวกับการเขียน
แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะเปลี่ยนจากการเขียนเป็นการพิมพ์แ้ล้วก็ตาม เราก็ยังคงต้องมี
สมาธิอยู่กับเรื่องที่เราพยายามจะเล่าอยู่นั่นเอง

พรุ่งนี้นัดครูเป้ไว้ว่าจะเข้าไปเรียนวาดรูป คอร์สแอดแวนซ์ .. ก่อนที่ครูจะตัดสินใจไปบวช
ครุเคยบอกว่า อยากเข้าไปศึกษาธรรม ค้นหาศัจธรรมแห่งชีวิต เพื่อที่จะเอามาประกอบ
การวาดรูป .. ก็เลยมาคิดว่า เข้าไปหาครูคราวนี้จะเอาอะไรไปฝากครูดี ...
เดินเข้าไปห้องพระ หยิบหนังสือธรรมมะขึ้นมาดู .. ก็คิดตามว่า ศาสนาพุทธของเรา
เป็นศาสนาเดียวในโลกเลยนะ ที่สอนให้คนพ้นทุก เดี๋ยวนี้ยังไม่เคยได้อ่าน
คำสอนของศาสนาไหนในโลกที่จะสอนได้เหมือนกับศาสนาพุทธ ได้ลึกซึ้งเท่าศาสนาพุทธ
เคยมีความคิดประหลาดอยู่ว่าถ้าพระพุทธเ้จ้าเป็ฯเรื่องสมมติ โลกเราไม่เคยมีพระพุทธเจ้า
มาก่อนเลยเพราะเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าถ้ามาอ่านในสมัยนี้ ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
อืืมมม เกินกว่าจะเชื่อได้มากกว่า แต่พออ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว..
คงหาคนบนโลกนี้ที่จะสามารถแต่งเรื่องของพระพุทธเจ้าได้ .. กับคำสอนที่ลึกซึ้ง
คงเป็นไปได้ยากที่ใครจะแต่งเรื่องแบบนี้ไำด้ .. เลยเชื่อฝังใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
ดังนั้นแล้วคำสอนของพระองค์ก็เป็นจริง .. อนุมานได้ตามหลักตรรกะ...

เฮ้อออ ง่วงแล้ว พรุ่งนี้่มีเรียนแต่เช้า ว่าเรียนเสร็จจะเข้าบ้านครูเลย ... ไม่รู้ฝีมือการวาดจะเป็นไง

21/6/51

บุญ ปาบ - สวรรค์ นรก

เมื่อเย็นนี้ไปวัดมาครับ ซื้อของสัฆทานไปถวายพระ
ก็เลยวันเกิดมาหลายวันแล้ว พักนั้นติดงานหลายอาทิตย์
มาวันนี้เพิ่งว่าง เลยไปวัดซะหน่อย

ได้ไปทำวัตรเย็น ได้ไปสวดมนต์ ได้ไปทำสมาธิ ก็ดีขึ้น
รู้สึกสบายขึ้น ทั้งตัวแล้วก็ใจ

ทำวัตรเย็นเสร็จ หลวงปู่ท่านก็ลงเทศ เกือบชั่วโมงแน่ะ
เสร็จแล้วก็ถวายสังฆทาน

แล้วก็ลงมาคุยกับพระอาจารย์ที่ใต้ศาลา ..
พระอาจารย์ท่านก็ถาม คืนนี้นอนวัดหรือเปล่า? ผมก็ปฏิเสธเหมือนเดิม แหะ...
เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้า ม. ด้วยน่ะ

พระอาจารย์ท่านก็บอก ไปนอนบนศาลาสิ ชั้นสอง ลมพัดเย็นดี แต่ดึกๆ ก็น่ากลัวหน่อยนะ
บางทีหมาก็หอน ... เอ ... เด๋วนี้วัดเราหมาหอนแล้วนะเนี่ยย เคยไปนอนอยู่ ไม่นักได้ยิน

พระอาจารย์ก็เล่า ตอนที่ท่านเคยไปนอนในป่าช้า เพื่อทดสอบจิตใจว่าความกลัว
ของตัวท่านมีมากขนาดไหน .. ก็มีโยมคนนึงนั่งคุยอยู่ด้วย เค้าก็เล่า ว่า
มีคนรู้จักคนนึงเค้าตายไป ตอนสวดศพก็นิมนต์พระมา 8 รูป ขณะพระกำลังสวดอยู่
เค้าก็ฟื้นขึ้นมา มือก็เคาะที่ฝาโลง พระทุกรูปก็เงียบ พอเค้าได้ยินพระเงียบก็เริ่มเคาะอีกสองที
เท่านั้นหล่ะ ทั้งพระทั้งโยมวิ่งกันกระจาย ... หลังจากนั้นนก็มาเล่าให้ฟังกับสิ่งที่เค้าได้ไปเห็น
หลังจากความตาย .. เค้าบอกว่า เค้าเห็นนรก อยู่ใกล้นี่หล่ะ ที่อ.หล่มสัก นั่นที่นึง
แล้วอีกที่ก็ที่มุกดาหาาร อ. อะไรผมจำไม่ได้เท่าไหร่ เค้าบอกว่า เห็นกระทะทองแดง
หน้ากว้างประมาณ 11 กม. คงจุคนได้เยอะมากเลยน่ะ แต่ดูก็น่ากลัวนะ ตรงที่เค้าบอกว่า
หลังจากนั้นเค้าก็ไปตามบ้าน แล้วไปบอกบ้านต่างๆ ถึงคนที่เคยเสียชีวิตตามบ้านนั้น
ให้คนในบ้านทำบุญส่งไปให้คนที่ตายไปแล้วบ้าง แปลกตรงที่เค้าบอกชื่อคนที่เสียชีวิต
ได้อย่างถูกต้องในแต่ละบ้านทั้งที่หลายบ้านนั้นเค้าไม่เคยรู้จักกันเลย

เค้ายังเล่าว่า เค้าได้ไปเห็นสิ่งของต่างๆที่เค้าเคยได้ทำบุญ กองอยู่บนสวรรค์
เค้าเล่าว่าจำได้ว่าเคยถวายขันใบนึง ที่สลักชื่อไว้ที่ขันนั้น เค้าก็เห็นขันใบนั้นอยู่บนสวรรค์ด้วย
พร้อมขื่อที่เค้าสลักอย่างถูกต้อง .. น่าแปลกใจมั้ยครับ

นี่หล่ะครับ ที่เค้าเรียกว่า บุญปาบมีจริง เรายังมีโลกที่เรายังมองไม่เห็นอยู่อีก
มันอยู่ใกล้เรานิดเดียว เพียงแต่ตาเนื้อเรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง ...
สำหรับบางคนที่อ่านแล้วรู้สึกกลัว ก็จงอย่ากลัวเลยครับ เพราะคุณเองก็เคยผ่าน
ที่เหล่านั้นมาแล้วเรียกว่านับรอบกันไม่ถ้วนแล้วล่ะ ..
เรียกว่าถ้าไปอีกที คุณอาจจะจำชื่อยมทุตได้ แล้วคุยกันได้ถูกคอด้วยน่ะ

พระอาจารย์ท่านว่า ปุถุชนเรามีแค่สองทางเลือกเท่านั้นที่ให้เลือกได้
คือ ไม่บุญก็บาป เราไม่เหมือนนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่เลือกอะไรสักอย่าง
ท่านไม่เอาทั้งบุญ แล้วก็บาป ท่านละได้ทั้งกิเลส ถึงได้เรียกว่า ความว่างเปล่าน่ะ
หรือนิพพานนั่นเอง

พระอาจารย์ท่านถามว่า สัตว์นรกเค้ากินอะไรกัน .... นั่งคิดกันอยู่นาน
พระอาจารย์ท่านว่า .. ก็บาปไง ในนรกมีแต่บาปเท่านั้นที่มีให้กิน
ในสวรรค์เค้ากินอะไร ก็บุญไง บุญที่เราทำ ทุกอย่างที่เราทำมันจะไปรอเราอยู่
ในภพหน้า ถ้าเราทำดี เราก็จะไปเสวยสุขบนสวรรค์ที่เราทำ
แต่ถ้าเราทำชั่ว เราก็จะได้รับผลชั่วในภพหน้า...

ดังนั้นแล้ว ทำบุญกันเยอะๆนะครับ .. บุญไม่จำเป็นน่ะครับ
ที่เราจะต้องจ่าเป็ฯเงินก้อนโต .. เพียงเรามีใจที่จะเสียสละ
ละ วาง ปล่อย ไม่ยึดถือ เท่านั้น พระอาจารย์อำนวยท่าเคยเล่าให้ฟังว่า
ตัวบุญนั้นคือความสบายใจ เวลาที่เราถวายของพระ หรือเวลาที่เราทำดี
อะไรก็ตาม ให้สังเกตที่ใจเรา เมื่อใดกตามที่เรารู้สึกปิติขึ้นในใจ
เมื่อนั้นหล่ะ นั่นหล่ะที่เรียกว่าบุญ บุญคือความสบายใจ คือความปิติของใจ

มีเท่านี่น่ะคับ .. ที่จะเล่าในคืนนี้...

20/6/51

ความรัก

ความรักที่เรามีเนี่ย เวลาที่เรามีมัน มันก็ช่างดูดีมีความสุขเนอะ ..
เรามองเห็นแต่ความดีของคนที่เรารัก มันลอยเต็มมมม ไปหมด
แต่พอเวลาที่มีปัญหากันถึงขั้นที่จะเลิกกันเนี่ย ... ไอ้ความดีของคนที่เรารัก
มันไม่รู้หายไปไหนหมด .. ไอ้ความสุขที่ทั้งสองคนต่างมีให้กัน มันเหมือนกับ
มีเมฆหมอกมาปกคลุมให้มองไม่เห็น ไม่สิ หมอกยังพอลางๆ นี่คงเป็นภูเขาลูกโตๆ
ที่มันกั้นเอาไว้ไม่ให้เห็นน่ะ ..

เรามักจะมองเห็นแต่สิ่งที่เราพยายามอดทนทำ .. ทำเพื่อให้ความรักมันเป็นตัวตนขึ้นมา
แต่ไม่ได้มอง ไม่ได้คิดเลยน่ะว่า ไอ้ความรักที่กำลังก่อตัวเป็นรูปร่างมา มันไม่ได้เกิดขึ้นมา
ลำพังด้วยความลำบากของเราคนเดียว .. แต่มันเป็นตัวตนได้จากคนทั้งสองคน
ที่ทนสู้ ฝ่าฟันปัญหามาด้วยกัน

ถ้าตอนนั้นจะให้ต่างฝ่ายพูด มันก็จะคงมีแต่เพียงว่า ชั้นเหนื่อยมาตั้งมากมาย
ชั้นต้องอดมามากมาย อะไรที่ชั้นอยากได้ อยากทำ อยากไป ชั้นก็ต้องอด ต้องคิด
ต้องเผื่อใจ ตั้งตัดใจ ชั้นเหนื่อย ชั้นเบื่อ มันสุดแล้วสำหรับชั้น ..
มันจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากทั้งสองคน เหมือนกันเด๊ะ ..

ไม่มีใครสักคน ที่จะคิดถึงความลำบากของอีกฝ่าย เช่นว่า เค้าต้องเหนื่อยกับชั้น
ชั้นเห็นเค้าแล้วสงสาร อะไรที่เค้าอยากได้ เค้าก็ต้องอดใจ อะไรที่เค้าอยากไป อะไรที่เค้าอยากกิน
เค้าก็ต้องคิด ต้องตัดใจ .. ทำไมเค้าช่างดีกับชั้นถึงขนาดนี้ ถ้าเค้ามีคนอื่นที่ดีกว่าชั้น
เค้าคงสบายกว่าที่อยู่กับชั้นนะ

มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์น่ะ ที่คนเรามักจะชอบติดอยู่กับความสุข
ความสบาย เมื่อไหร่ที่คนเราได้รับความสุขไม่ว่าจะจากอะไรก็แล้วแต่
เราก็จะยินดีกับความสุขนั้น จนบางครั้งเราเองก็ลืมไปว่าความสุขที่เกิดขึ้นมา
มันเกิดมาจากไหน .. มันจีรังหรือเปล่า .. มันจะทำอย่างไรที่จะเกื้อกูลให้ความสุขนั้น
จะอยู่คู่กับเราไปได้ตลอดไป

เราอาจจะลืมไป ว่าการอยู่ร่วมกัน มันเป็นการแชร์ทุกอย่างร่วมกัน
ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าจะทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นคนคนเดียวกัน
บางครั้งก็ลืมไปว่า เมื่อไหร่ที่เราเหนื่อย อีกคนก็เหนื่อยด้วย
เมื่อไหร่ที่เราไม่สบาย อีกคนก็ไม่สบายด้วย
ความรู้สึกทุกอย่างมันจะเป็นของกันและกัน
แค่การเป็นแฟนกัน ยังไม่ได้แต่งงานกัน ... ถ้าเราลืมคำว่ารักไปหมด
แล้ว มันก็ยากนะ ที่จะมาอยู่ร่วมชีวิตกันได้

นี่หล่ะคือสิ่งที่เราลืม ..
ผมได้ฟังสองคนที่กำลังจะเลิกกัน ไม่มีคำพูดอะไรเลยที่ทั้งคู่จะพูดในด้านดีของอีกฝ่าย
ต่างคนต่างพูดถึงแต่ความดีของตนเองที่ได้ทำ จริงอยู่แม้ว่าทั้งสองจะไม่พูดสิ่งไม่ดีของอีกฝ่ายก็ตาม
แต่นั้นมันก็แสดงออกมาได้ ถึงความเป็นปกติชนของมนูษย์เราเอง ..
ถ้าทั้งสองคนจะหยุดคิดกันสักนิด .. คิดย้อนไปถึงสิ่งที่อีกคนพยายามทำให้เรามีความสุข
คิดถึงที่มาของความสุขที่เราได้รับ คิดถึงความลำบากที่ทั้งสองคนได้ร่วมรับกันมา
หรือถ้าคิดไม่ออก ก็หยุดคิด ... รอให้ความคิดเราสงบ ...
รอให้อัตตาในตนมันหยุด รอให้กิเลส โทษะ โมหะ และอวิชชามันจางหาย
ัปัญญามันก็ย่อมต้องเกิด ความดีก็สามารถแทรกตัวเข้ามาได้

หวังใจอยู่ว่าทุกอย่างมันจะออกมาในแนวทางที่ดี
หวังใจอยู่ว่า ทั้งคู่จะคิดออกถึงความดีที่อีกฝ่ายได้ทำให้กับเรา
หวังใจอยู่ว่าจะไม่มีใคร ต้องมาเจ็บปวด และทรมารเหมือนกันกับ
ที่ผมและคนที่ผมรัก กำลังเป็นกันอยู่...
เพราะผลจากการที่เราได้ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว
มันยากยิ่งนักที่จะย้อนกลับมาให้มันดีเหมือนเดิม ...

19/6/51

หรือว่าเป็นโชคชะตา

ชีวิตคนเราตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนจิงๆ น่ะ
วันนี้เรามีความสุขอยู่กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น
เราแน่ใจว่าความสุขนี้ มันจะมั่นคง ยั่งยืน
เราแน่ใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวัน.. แน่ใจกับสิ่งที่เราทำอยู่
ว่ามันจะเป็นความสุขอยู่กับเรา

แต่ไม่นึกอยู่เหมือนกันวัน วันต่อมาแล้ว ความสุขที่เรามี
ที่เราแน่ใจ ที่เราจับต้องได้ ในวันนั้น มันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า

ผมรู้จักคู่รักอยู่คู่นึง ... ทั้งสองคนนี้เคยให้คำปรึกษาในตอนที่ผมตกอยู่กับความทุกข์
จากความรักที่ผมมี...
ผมมั่นใจอยู่มาก กับสองคู่นี้ว่า เค้าจะมีความสุขกับความรัก
ทั้งสองคนวางแผมที่จะแต่งงานกันต้นปีหน้า ต่างพยายามเก็บเงินกัน
เพื่องานแต่งงาน

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่สองคนตั้งความหวังไว้ เมื่อทางบ้านของเพื่อนผม
ประสบปัญหาทางการเงิน และเงินก้อนเดียวที่ทั้งสองพยายามเก็บกัน
มันก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในงานแต่งงานนั้น ...

เพื่อนผมได้ตัดสินใจทิ้งความรักที่เค้ามีอยู่ ความรักที่ทำให้เค้ามีความสุข
ตัดสินใจที่จะสละสิ่งที่เค้ามีเพื่อทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือทางบ้าน...
มันไม่น่าจะจบแบบนี้เลย .. ผมพยายามอธิบายทุกอย่าง พยายามที่จะช่วยหาทางออก
กับปัญหาที่เพื่อนผมเจอ แต่ทุกอย่างดูเหมือนเพื่อนผมได้ตัดสินใจไปแล้ว
และมันก็บอกว่ามันไม่สามารถจะย้อนกลับมาเป็นอย่างเดิมได้

เหตุผลอะไรที่จะสามารถทำให้คนเราสามารถที่จะทิ้งความรักที่เรามีอยู่ได้?
เหตุผลอะไรที่จะทำให้คนสองคนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกทั้งที่ทั้งสองคนยังรักกันอยู่
มันคือโชคชะตา หรือความโง่ของคนหรือเปล่า...

แต่นี้ไป สองคนนี้ก็คงจะเหมือนกันผม ที่เป็นอยู่ ...

วันนี้ได้รับข้อความมาจากคุณ ... ทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ..
ฝนยังคงตกอยู่มาตั้งแต่ตอนเย็น
แต่ก่อน.. คุณเคยบอกรักผม แทบทุกวันที่เราได้เจอกัน ..
แม้ตอนนี้ คุณจะไม่สามารถบอกรักผมได้เหมือนแต่ก่อนก็ตาม
ทุกข้อความที่คุณส่งมาทักทายผม ผมจะขอคิดว่า นั่นคือคำบอกรักผม
ดั่งที่คุณเคยบอกผมทุกวัน แม้ข้อความเหล่านั้นจะเป็นเพียงการทักทายธรรมดาก็ตามที

จากนี้ไปแม้จะยาวนานเท่าไหร่ก็ตาม ผมจะยังคงหยุดเวลานี้ไว้ เพื่อรอคุณกลับมา
แม้มันจะยาวนาน สิบปี ยี่สิบปี หรือเท่าไหร่ก็ตามที .. ผมจะยังคงรอคุณอยู่ ณ.ที่นี้ ณ.เวลานี้
และตลอดไป ....

16/6/51

ยังรอคอยเธอเสมอ

นั่งมองภาพเธอทุกวัน และทุกๆครั้งฉันก็สุขใจ
เรื่องราวนั้นผ่านไปนานเท่าไหร่ ที่สองเราเคยใกล้กัน
ภาพถ่ายยังคงงดงาม รูปที่เธอยืนเคียงคู่ฉัน
วันนั้นเป็นวัน ที่ฉันช่างมีความสุข

นั่งอ่านลายมือของเธอ จากจดหมายสุดท้ายฉบับนั้น
อ่านวนไปมาทุกๆวัน แต่ฉันกลับไม่เศร้าใจ
กระดาษเริ่มเก่าและบาง ตัวหนังสือเลือนลางแค่ไหน
อย่างน้อยก็ทำ ให้ฉันพบเธอในใจ

ยังรอคอยเธอเสมอ ไม่ว่าเธออยู่ที่ใด
ยังรอรอยยิ้ม ที่แสนอบอุ่นมาจากหัวใจ
แม้จะไม่มีหนทาง และจะนานๆแสนนานเท่าไหร่
แต่ใจของฉัน จะมั่นคงอยู่ไม่ขอเปลี่ยนไป

กี่ปีที่เราไม่พบกัน แต่ฉันก็ยังสุขใจ
เรื่องราวนั้นผ่านไปนานเท่าไหร่ ที่เราสองคนเคยใกล้กัน
ภาพเก่าก็ยังสวยงาม และจดหมายในซองเหล่านั้น
ยังช่วยคอยทำ ให้ฉันมีเธอในใจ

ยังรอคอยเธอเสมอ ไม่ว่าเธออยู่ที่ใด
ยังรอรอยยิ้ม ที่แสนอบอุ่นมาจากหัวใจ
แม้จะไม่มีหนทาง และจะนานๆแสนนานเท่าไหร่
แต่ใจของฉัน จะมั่นคงอยู่ไม่ขอเปลี่ยนไป

เพราะเธอยังอยู่ เธออยู่ในหัวใจ
เธอคือพลังให้ฉัน ได้เจอวันดีๆเรื่อยไป
ในวันที่ตัวฉันแพ้ ในใจท้อแท้แม้ซักเท่าไหร่
ก็ยังมีเธอ คิดถึงอยู่ฉันก็อุ่นใจ

ยังรอคอยเธอเสมอ ไม่ว่าเธออยู่ที่ใด
ยังรอรอยยิ้ม ที่แสนอบอุ่นมาจากหัวใจ
แม้จะไม่มีหนทาง และจะนานๆแสนนานเท่าไหร่
แต่ใจของฉัน จะมั่นคงอยู่ไม่ขอเปลี่ยนไป

และใจของฉันจะมั่นคงอยู่ ไม่ขอเปลี่ยนไป

15/6/51

Stop for ...

คงยังมีเพียงความต้องการที่จะหยุดเวลานั้นเอาไว้ให้ยาวนานได้เท่าที่มันจะเป็น...
เสียงหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ เพื่อรับรู้ในความรู้สึกที่ยังคงมีอยู่ในช่วงเวลานั้น

กาลเวลาที่ยังคงเดินไปอย่างไม่มีวันหยุด แม้ว่าเราจะยื้อเอาไว้สักเท่าไหร่
สิ่งต่างๆ ที่กำลังจะผ่านไป ... เข็มวินาที ที่หมุนผ่านตัวเลขทีละตัว

เท่ากับระยะทางที่เรากำลังจะห่างกันออกไปเรื่อยๆ ..

เวลานั้นที่ผมบอกลาคุณ เดินหันหลังกลับ และจากไป ..
เสียงหัวใจที่ยังคงเต้น และสายน้ำตาที่เอ่อล้น



ผมรักคุณ
แม้คำพูดนี้มันจะไม่ได้ดังออกจากปากผม ไปถึงคุณ ..
ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ผมยังคงรักคุณ ...

13/6/51

ความรัก

เมื่อความรัก ... ร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่า ... ทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่า ... หนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่า ... เสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรัก สวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรัก ... จะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ...
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรัก ... ไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้น พอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า ...
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า ... เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่า เธอมีคุณค่าพอแล้ว ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
... ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยน ละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจ ในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุข ซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ ...

34 Years Old...



สุขสันต์ วันเกิดครบรอบปีที่ 34

ปีที่ 34 ของผมเริ่มต้นด้วย sms อวยพรวันเกิดจากหนึ่ง
ที่อวยพรให้ผมมีความสุขทีปีที่ 34 ที่กำลังผ่านมา

เช้านี้ทำบุญด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ไป สองรูป
จากนั้นตลอดทั้งวัน จะมีข้อความอวยพรวันเกิดเข้ามาตลอด
ไม่ว่าจะมาจาก บ.ประกันชีวิต จากเพื่อนๆ ที่เรียนโท จากเพื่อนที่เรียน ตรี
จากเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกัน และเพื่อนทางเน็ตด้วย
hi5 วันนี้เลยมีข้อความรุมเทมาเยอะเป็นพิเศษ

รู้สึกว่าในปีนี้รู้สึกอบอุ่นมากกว่าวันเกิดทุกปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
หรือจากการที่เราไม่มีใครแล้ว... ทำให้เรามีเวลา มีโอกาสได้เปิดรับสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ดังนั้น วันเกิดปีนี้จึงไม่ได้มีเพียงคำอวยพรวันเกิดเพียงจากคนรักเก่าเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่มีคำอวยพรจากเพื่อนๆ มากมาย รู้สึกว่า สิ่งนี้มันมีคุณค่าอย่างมาก มากกว่าที่จะได้กล่องของขวัญ
เสียอีก เพราะแต่ละคำอวยพรที่ได้รับมานั้นมันออกมาจากจิตใจที่ปราถนาให้เราที่ได้รับนั้นมีแต่ความสุข
มันเป็นการปราถนาดีที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง .. และยังมีสิ่งที่ผมส่งคำอวยพร
เหล่านั้นแบ่งกลับไปให้กับผู้ให้ที่ออกมาจากใจของผม ที่ปราถนาจะให้เค้ามีความสุขเช่นเดียวกัน

จริงอยู่ครับ ว่าความสุขมันไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงวันเกิดวันนี้เท่านั้น
แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ วัน ที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้
แต่วันนี้จะเป็นวันพิเศษวันนึง ที่จะมีความสุขเกิดขึ้นกับผมและกับผู้ที่ให้อย่างมากมาย

เย็นวันนี้ นัดตี๋ไปหาไรทานกัน ไม่ได้ตั้งใจเลยครับ ว่าจะเป็นการฉลองวันเกิดผม เพราะปกติแล้วทุกวัน
ผมจะอยู่กินข้าวบ้านกับแม่ แต่พักนี้ผมไม่ได้คุยกับตี๋มันมาหลายอาทิตย์แล้ว
และวันศุกร์มันก็จะกลับบ้าน มาอีกทีก็วันจันทร์ อาทิตย์สิ้นเดือนผมก็คิวยาวอีก

เพราะเมื่อตอนบ่ายพี่ป้อมโทรมา บอกว่าครูเป้จะเปิดคอร์ส Advance คอร์สสุดท้าย
จากนั้น ครูก็จะไปบวชที่วันตจว. แล้ว ดันมาชนกับงานรับน้องอีก
ท่าจะพลาดร่วมกิจกรรมกันเพื่อนๆ อีกแน่เลยยย

อ่อออ เนี่ย คือสาเหตุที่นัดตี๋กินข้าวกันเย็นนี้ ไม่ได้มีไรหรอกน่ะ

วันนี้ได้ของขวัญมาสองชิ้น เป็นหนังสือทั้งหมดเลย เล่มแรกของตี๋ เป็นคู่มือ
การถ่ายภาพดิจิตอล กับอีกสองเล่มที่เหลือเป็นหนังสืออืมมม ไม่รู้ว่าจะแนวไหน
เล่มแรกออกแนวการ์ตูนชื่อ NINE LIVES ของ ทรงศีล พิวสมบูรณ์ กับอีกเล่ม
ชื่อ ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ ของ วินทร์ เลียววาริณ เห็นที่ปกบอกพิมพ์ครั้งที่ 85
ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า แต่ปกในบอกว่าพิมพ์ครั้งแรกนิติยสาร OpenHouse ปี 2547
รวมเล่มครั้งแรกปี 2549 ก็น่าจะได้นะ

ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือของ วินทร์ เลียววาริณ เท่าไหร่
เป็นหนังสือที่อ่านแล้วปวดหัว ออกแนวไซโคมากไปหน่อย อ่านแล้วเหมือนโดนหลอก
ไงไม่รู้ เคยพยายามอ่านไปเล่มนึง อ่านไปได้แค่ครึ่งเล่มก็ปิด ไม่เอาแล้ว ปวดหัว

แต่สุดท้ายก็ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดซะจนได้ .. เฮ้อออ

ตอนนี้เลยเที่ยงคืนไปแล้ว หมดสิ้นไปเสียทีกับชีวิตปีที่ 33 ของผม
ปีที่ 34 ได้เริ่มต้นแล้ว ในปีนี้ผมคงต้องตั้งเป้าชีวิตไว้ล่ะ
อย่างแรก ต้องจบโทในปีนี้
อย่างที่สอง ต้องไปเที่ยว ต่างประเทศที่ไกลๆ สักที่โดยลำพังคนเดียว
อย่างที่สาม เข้าพรรษาปีนี้จะเคร่ง ศิลแปดให้ได้
นอกนั้น ยังคิดไม่ออก เอาเท่านี้ก่อนล่ะกัน

ดูเป้าหมายไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่นะ แต่เอาเถอะ
ให้แต่ละวันที่ตื่นมามันได้รู้อะไรบ้างล่ะว่า ชีวิตที่จะอยู่ต่อไป
มันจะอยู่ไปเพื่ออะไร ...

ส่งท้ายย ขอบคุณกับทุกคำอวยพรจากทุกคน
อยากบอกจากใจครับว่า ทุกคำอวยพรที่ได้รับในวันนี้
มันมีคุณค่ามากกว่าของขวัญใดๆ ที่เคยได้รับมา
อยากให้ทุกคำอวยพรนั้น จงบันดารให้ผู้ให้มีความสุขเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ

9/6/51

การถ่ายภาพพลุ

บันได 5 ขั้นในการ
ถ่ายภาพพลุ


บันไดขั้นที่ 1 วัดแสง

ให้คุณเปิดรูรับแสงกว้างสุด แล้ววัดแสงว่าได้ความเร็วชัดเตอร์เท่าไร

บันไดขั้นที่ 2 เลือกขนาดรูรับแสง

เมื่อวัดแสงเรียบร้อย ให้คุณตั้งรูรับแสงในช่วง f/8 สำหรับฟิล์ม 100 ISO เสร็จแล้วทด
ความเร็วชัตเตอร์ตามรูรับแสงที่เปลี่ยนไป สมมุติว่าคุณวัดแสงที่ f/1.4 ได้ความเร็ว 1/4
วินาที ถ้าใช้ f/8 ต้องใช้ความเร็ว 8 วินาที

บันไดขั้นที่ 3 ชดเชยแสง

ถ้าคุณวัดแสงในระบบ Center Weight ต้องมีการชดเชยแสง เนื่องจากกล้องไปวัด
แสง พื้นที่ส่วนดำเข้ามาด้วย หากเปิดรับแสงตามที่วัดได้จะได้ภาพที่สว่างเกินไป
ต้องชดเชยแสงให้รับแสงน้อยลงประมาณ 1-2 stop โดยการลดความเร็วชัดเตอร์ลง
(จาก 8 วินาที ต้องมาใช้ในช่วง 2-4 วินาที)

บันไดขั้นที่ 4 ถ่ายภาพ

เมื่อคุณตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเรียบร้อยให้ถ่ายภาพโดยใช้ค่าการ
เปิดรับแสงนั้นตลอด อาจเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์ได้บ้างในช่วง +-1 stop ไม่ควร
มากกว่านี้

บันไดขั้นที่ 5 ล้างฟิล์ม

ในขั้นนี้สามารถแบ่งเป็น 2 กรณีคือ ถ้าถ่ายภาพด้วยสไลด์ ให้คุณส่งฟิล์ม 1 ม้วนล้าง
ดูก่อน ถ้าภาพออกมาสว่างเกินไปให้ประมาณว่าสว่างเกินไปประมาณกี่ stop และสั่ง
ให้ร้านล้างลดความไวแสงในม้วนที่เหลือ วิธีนี้สามารถแก้ไขภาพที่สว่างหรือมืดเกินไป
ในช่วง +-1stop ได้

ในกรณีที่ใช้ฟิล์มเนกาติฟ ให้ล้างอย่างเดียวก่อน เมื่อฟิล์มออกมาก็ลองสั่งให้ร้านอัด
ขยายสัก2-3 ภาพ ดูว่าภาพที่ออกมาสว่างหรือมืดไปขนาดไหน สั่งอัดขยายใหม่
(จ่ายเงินให้ร้านด้วยนะ) เพื่อแก้ไข เมื่อภาพออกมาเป็นที่น่าพอใจแล้วค่อยอัดขยาย
ภาพที่เหลือโดยเอาภาพที่พอใจเป็นแม่แบบ

แม้ว่าการกระทำแบบนี้คุณจะเสียเวลาอยู่บ้าง แต่ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและทำ
ให้ได้มีคุณภาพใกล้เคียงที่ต้องการมากที่สุดเท่านี้ คุณก็จะสามารถถ่ายภาพพลุวันที่
5 ธันวาคม นี้ได้อย่างสบายใจ ว่าภาพที่ออกมาจะสวยงามดังที่คุณคิดไ

การถ่ายไฟกลางคืน

บันได 4 ขั้น
ในการถ่ายไฟกลางคืน

Main Page

Night1.jpg (14718 bytes)
ภาพถ่ายไฟกลางคืน
Night18.jpg (16417 bytes)

Night5.jpg (10692 bytes)


ในโอกาสที่มีงานเฉลิมพระชนมพรรษาของทุกปี จะมีการประดับประดาประทีปโคมไฟ
ต่างๆมากมายที่สวยสดงดงาม และหลายท่านก็คงอยากบันทึกภาพความสวยงามเหล่านี้
ไว้ดูได้นานๆ การถ่ายไฟกลางคืนไม่ยากลำบากอย่างที่หลายท่านกังวล เทคนิคง่ายๆใน
คราวนี้ จะเป็นแนวคิดในการถ่ายภาพของท่านครับ

สิ่งแรกที่ท่านควรจะพิจารณาได้แก่อุปกรณ์ถ่ายภาพ การจะได้ภาพถ่ายไฟกลางคืนที่ดีนั้น
กล้องที่ใช้ควรจะเป็นกล้อง SLR ติดเลนส์ตามที่ท่านชอบ ที่สำคัญกล้องควรจะมีขนาด
ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆให้เลือกใช้ อย่างเช่น 1-30 วินาที หรืจะเป็นชัตเตอร์ B จับเวลาเอง
ก็ได้ พร้อมขาตั้งกล้องและสายลั่นไกชัตเตอร์ ฟิล์มที่ใช้ควรใช้ขนาด ISO ประมาณ 100
จะดีในด้านความคมชัด รายละเอียดของแกรนภาพและสีที่อิ่มตัว

เมื่อท่านเตรียมพร้อมแล้ว คราวนี้ก็ถึงตอนที่ท่านจะทำการถ่ายภาพ ตามขั้นตอนต่อไปนี้

บันไดขั้นที่ 1 ตั้งกล้องวัดแสง เชิญคุณติดตั้งกล้องคู่ใจกับขาตั้งกล้อง
จัดองค์ประกอบให้พอใจ จากนั้นเปิดรูรับแสงให้กว้างที่สุด วัดแสงดูว่าได้ความเร็ว
ชัตเตอร์ที่เท่าใด เช่นตั้งขนาดรูรับแสงที่ F4 วัดแสงได้ขนาดความเร็วชัตเตอร์ 1/15
วินาที

บันไดขั้นที่ 2 เลือกขนาดรูรับแสง เลือกขนาดรูรับแสงให้แคบเล็กลง
เช่น F11 หรือ F16 เพื่อให้ได้ความชัดลึกที่สูงขึ้นในการควบคุมภาพถ่าย ซึ่งค่าแสง
จะเปลี่ยนไปจาก F4 ที่วัดได้ เช่นถ้าคุณตั้งที่ F11 จาก F4 ถึง F11 แล้วจะลดไป 3
สต็อป (4, 5.6, 8, 11) ภาพจะติดอันเดอร์ 3 สต็อป คุณก็ปรับเวลาเพิ่ม 3 สต็อป เช่น
จากเดิม 1/15 วินาที เพิ่มเวลา 3 สต็อป = 1/2 วินาที (1/15, 1/8, 1/4, 1/2) คุณ
จะได้ค่าแสงที่พอดีเท่าเดิม

บันไดขั้นที่ 3 ชดเชยแสง ปกติถ้าคุณถ่ายภาพไฟกลางคืนนั้น คุณจะใช้ค่า
แสงที่พอดีนี้ได้เลย ไม่ต้องชดเชยแสงก็ได้ในกรณีที่ถ่ายภาพด้วยสไลด์ แต่ถ้าคุณถ่ายภาพ
ด้วยฟิล์มสี (Negative) ควรเปิดชดเชยให้ Over 1 สต็อป โดยเพิ่มเวลาเช่นจาก 1/2
ในขั้นที่ 2 ใช้เป็น 1 วินาที ในกรณีที่คุณต้องการความมั่นใจ เมื่อถ่ายด้วยสไลด์ ขอแนะนำ
ให้ถ่ายเปิด Over เพิ่มอีก 1 สต็อป คร่อมไว้ก็สามารถทำได้

บันไดขั้นที่ 4 ถ่ายภาพ ขั้นนี้คุณก็พร้อมที่จะถ่ายภาพไฟกลางคืนได้อย่าง
สบายใจแล้วว่าได้ภาพแน่ๆ

แปะฝาก

Originally Posted by tasan View Post
จะแนวไหนก็ไปนี่ก่อนเลยครับ

http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=13590

อ่านของพี่ tasan เสร็จแล้ว อ่านนี้ต่อเลยนะ

http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=3743
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=3835
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=3887
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=3954
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=4232
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=4478
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=5961
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=8248
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=8810

http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=422
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=188
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=1607
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=3035

8/6/51

รายละเอียดของแสง

ปฐมบทแห่งธรรมชาติ
แรกเริ่มเรามาทำความเข้าใจความหมายของการถ่ายภาพกันด ีกว่า
การบันทึกภาพก็คือการบันทึกด้วยแสงลงบนแผ่นฟิล์ม หรือเรียกว่า analog ก็ได้(แต่เขาไม่ใช้กัน) หรือปัจจุบันเป็นการบันทึกลงหน่วยความจำระบบดิจิตอล (digital) ซึ่งแปลงค่าแสงให้เป็นภาษาคอมฯ อย่างไรผมเองก็ไม่ทราบ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบฟิล์ม หรือดิจิตอล มันก็เพื่อผลสุดท้ายเหมือนกันคือ ได้รูปสักรูป/ใบหนึ่ง มาเชยชม

ระบบกล้องในอดีต เราแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ
1)กล้องแบบ 35 mm SLR (Single-Lens Reflex) ซึ่งก็คือกล้องแบบเปลี่ยนเลนซ์ได้ ใช้ฟิล์มแบบ 135 เป็นกลัก ๆ หนึ่งถ่ายได้ 36 ภาพ หรือมากกว่า ฟิล์มนั้นมี 2 ประเภท คือ แบบ Negative ซึ่งก็คือฟิล์มที่เมื่อถ่ายมาแล้วต้องล้าง และอัดออกมาเป็นภาพถึงจะเห็นเป็นสีได้ และ Positive ซึ่งก็รู้จักกันว่า สไลด์ ถ่ายมาแล้วล้างก็เห็นรูปที่ฟิล์มเป็นสีเลยครับ เอ..ไปเรื่องฟิล์มซะแล้ว
2) กล้องแบบ Medium format คือกล้องที่มีขนาดฟิล์ม แบบ 120 มีขนาดพื้นที่ฟิล์มใหญ่กว่า แบบแรกขึ้นมาอีก ให้รายละเอียดได้กว้างกว่า ชัดกว่า อันเป็นผลมาจากขนาดที่ใหญ่นั่นเอง ลองนึกถึงทีวี 14 นิ้ว กับ 32 นิ้วดู ก็จะนึกออกว่ามันดีกว่าอย่างไร แต่ทว่า กล้องแบบนี้ มีราคาที่ค่อนข้างสูง ทั้งตัวกล้อง และเลนซ์ ขนาดและ นำหนักที่มาก จึงส่วนใหญ่ใช้กับช่างภาพมืออาชีพในสตูดิโอเป็นส่วนใ หญ่ และอีกส่วนนำออกไปใช้นอกสถานที่เหมือนกัน และนำภาพไปขายได้ เพราะอัดได้ขนาดใหญ่กว่าโดยที่เม็ดสีไม่แตก หรือมีเกรนแตกนั่นเอง(ส่วนใหญ่แมคกาซีนที่ขายกันอยู่ ในท้องตลาด ทั่วโลกก็ใช้ฟิล์มแบบนี้)
3) กล้องแบบ Large format หรือกล้องวิว กล้องแบบนี้น้อยคนนักจะได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์กับผุ้ที่มีใจรัก เพราะถ้าเทียบเรื่องคุณภาพภาพที่จะได้กับกล้องแบบนี้ ถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม และก็สามารถปรับมุม Tilt เลื่อนมุมได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนแบบที่กล้องทั้ง 2 อย่างข้างต้นให้ได้ไม่เท่า แต่ทว่าทุกอย่างมีดีก็ต้องมีเสีย นั่นคือขนาดของมัน และอุปกรณ์ ที่หนักพระกาฬรวมถึงการควบคุมที่ต้องชำนาญ(ไม่ใช่เรื ่องวัดแสง) เพราะฟิล์มที่ใช้เป็นแบบแผ่น (Sheet) ที่มีขนาด 4x5, 8x10 นิ้วคงไม่ต้องพูดถึงราคา และความแม่นที่ต้องสูงตามไปด้วย ขอแนะนำสำหรับผู้ที่ถวิลหาความสุดยอด และมีความชำนาญในหลักพื้นฐานอย่าช่ำชองเท่านั้น

การเกิดภาพ

กล้องสปาย กล้องแบบนี้เขาคงทำไว้ให้ 007 ใช้เป็นแน่ หลายๆ คนคงคิดอย่างนั้น แต่ที่จริงยังมีกล้องสปายที่ยังคงโด่งดังและมีขายอยู ่ในท้องตลาดจริง นั่นคือ กล้อง Minox กล้องแบบนี้มีขนาดเล็กมาก มากแค่ไหนลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตเพื่อดูขนาดได้ครับ แต่ผมไม่เคยใช้หรอกนะคิดว่าคุณภาพคงดีกว่าขนาดเป็นแน ่จึงคงยืนหยัดอยู่ในตลาดและยังคงมีคนนิยมซื้อหาอยู่น ่ะครับ

กล้องพาโนรามา (Panorama) ที่ดังก้องในโสตประสาทผมไม่วายนั่นคือ Linhoff ผลิดจากประเทศเยอรมันครับ คุณภาพของมันนั้นไร้คำบรรยาย กล้องประเภทนี้นักถ่ายภาพประเภท Landscape สักครั้งในชีวิตควรได้ลองพกไปถ่ายดู (หากมีตังค์นะ) เสนอราคารวมเลนส์ก่อนที่เงินบาทจะลอยตัวอยู่ที่...อื มม..เกือบแสน เห็นจะได้ครับ คุณภาพที่ผมยกย่องมากที่สุดคือคุณภาพเลนซ์ครับ แบรนด์อื่นๆ ก็มี Fuji ที่คุณๆ เห็นตัวอย่างในนิตยสาร อสท. หน้ายาวๆ นั่นแหละแต่ของ Fuji จะถูกกว่าหน่อย แต่คุณภาพภาพประทับใจดีครับ พูดมาซะยาว ไม่ได้บอกเลยว่ากล้องประเภทนี้ก็จัดเป็นกล้อง Medium format นั่นแหละ แต่ด้วยความที่มันสามารถถ่ายภาพ 1 ช็อตได้ยาว(แนวนอน)เป็นพิเศษ คือฟิล์ม 120 ม้วนหนึ่งคงถ่ายได้ประมาณ 4 ช็อตนะครับ เปลืองดีไหมละ

กล้องแบบจุลทรรศ์ กล้องส่องทางไกล กล้องดูดาวอะไร หรือแม้แต่กล้องทางการทหาร ผมขอยกเว้นไม่พูดถึงนะครับเพราะมันไกลตัวไปหน่อย

เอาละๆ ไปพูดอะไรที่ไม่ได้ช่วยอะไรให้คนถ่ายรูปได้ดีขึ้นมาเ ลย แต่ผมคิดว่ามันก็เป็นเกร็ดที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ ทีนี้มากล่าวถึงกระบวนการเกิดภาพกันเลย บางคนคงคิดว่าผมจะมาด้วยหลักวิชาการทางเคมี หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมบอกเลยว่าไม่ครับ ผมชอบพูดแต่แก่นไปเลยดีกว่า ผมขอเริ่มต้นกับคนกับกล้องก่อนครับ เอ่อ แหงละ ไม่มีสองสิ่งนี้ ภาพมันจะเกิดได้อย่างไรละ โอ้ ไม่สิ ยังลืมตัวเอกไปได้อย่างไร อะไรรู้ไหมครับ แสงไงครับ คราวนี้ใครทักว่ามองหา (พระ)แสงอะไรจะได้บอกว่ามองหารูปอยู่เว้ย นั่นว่าเข้าไป

แสง แสง แสง
ลองจำลองกล่องๆ หนึ่งขึ้นมาในมโนภาพนะครับ กล่องๆ นี้ข้างในมืดมากซ์ๆๆๆ ครั้นมีคนมือบอนนำเข็มมาเจาะ 1 จุด โอ้ ไม่น่าเชื่อเลย เกิดรูปทรงแสงเดินทางเข้ามาในกล่องๆ นั้น ตอนนี้คุณมีแป้งเย็นทางตัวหลังอาบน้ำไหมครับ โปรยเข้าไปโอ้คราวนี้เห็นกลุ่มฝุ่นแป้งฝุ้งไปหมดในกล ่องนั่น มีพัดลมไหมครับ เอามาเป่าจะเห็นความเคลื่อนไหวของฝุ่นปลิวไปมาเลยละ จากการจำลองแบบนี้ราวกับให้คุณลองเป็นผู้สร้างโลกใบน ี้ เพราะสถานะการณ์แบบนี้มันช่างเหมือนกับตอนที่ฟ้ารั่ว และเมฆฝนอึมครึมเคลื่อนตัวผ่านแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอ ยู่นั่นกระไร สถานการณ์แบบนี้ก่อให้เกิดรูปทรงให้ภาพสวยงามมากต่อม าก(เพราะมันไม่เกิดบ่อยๆ นะซิครับ)

ที่ผมให้คุณนึกภาพตามเพราะจะให้คุณนึกภาพได้ว่า ถ้ากล่องๆ นั้นมืดสนิท ไม่เห็นอะไร ไม่มีภาพอะไรเลย

ภาพเกิดขึ้นได้เกิดจากแสงจาก พระอาทิตย์ หรือสุริยะเป็นตัวเอกครับ บางคนเถียงขึ้นมา บ้านฉันมีไฟฉาย โอ้...มามุขนี้ยอมครับ ยอมให้คนหนึ่งครับ กลับมาวิชาการต่อ คือแสงนี่แหละที่ก่อให้เกิดการเห็นรูปทรง ถ้าคุณรู้จัก แสง
คุณถ่ายภาพได้แน่นอนครับ

ประเภทของแสง
แสงมีอยู่สองจำพวกครับในโลกนักถ่ายภาพนี้ คือแสงที่เกิดขึ้น หรือที่ผมคิดว่าคือแสงแหล่งกำเนิด (Incident Light) และแสงตกกระทบ (Reflected Light) มันต่างกันอย่างไรใช่ไหมครับ ที่จริงมันก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละ(ยกเว้นต้นกำเนิด แสงจะไม่ใช่ตัวเดียวกัน เช่นแสงไฟที่มนุษย์ทำขึ้นมาเอง) ผมยกตัวอย่างให้เห็นชัดนะครับ เริ่มต้นพระอาทิตย์รุ่งอรุณเริ่มกระโดดขึ้นขอบฟ้า ส่ง แสง เดินทางมาแล้วครับท่านผู้ชมซึ่งตอนนี้แสงนี้ยังมาไม่ ถึงโลกนะ แสงที่เดินทางมาจากพระอาทิตย์นี้แหละที่เรียกว่า Incident Light (ขออภัยที่ผมอยากทับศัพท์ไปเลย)ครับ ส่วนแสงที่เดินทางมาไปชนสิ่งของ ต้นไม้ อะไรต่อมิอะไรให้เราเห็นเป็นรูปทรงขึ้นมาได้นี่คือแส งตกกระทบ หรือ Reflected Light เอ..แล้วมาแบ่งหา ...แสงทำไม ก็เพราะเรื่องนี้มันจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการวัดแส งต่อไปนะซิครับ ถ้าใครใช้ไฟแฟลชในสตูดิโอ ซึ่งควบคุมกำลังได้ คุณก็ถือว่าแสงไฟในสตูดิโอนั่นแหละเป็น Incident Light

ฤทธิ์เดชของแสงมันไม่มีเท่านี้หรอกครับ นี่มันแค่ออเดิฟ แต่ผมอยากบอกว่าไม่มียากเกินความเข้าใจครับ เพราะฉะนั้นไปกันต่อในคราวต่อไปกับคุณภาพแสงต่อนะครั บ สัญญาว่าจะมาเขียนต่อไม่เกิน 3 ส.ค. 48 ครับ

คุณภาพแสง

คุณเคยไปซื้อเสื้อ ซื้อผลไม้ไหมครับ มันต้องเคยบ้างซิน่าไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คุณเคยนิยาม คุณภาพของๆ ที่คุณซื้อหาไหมครับ ว่าอะไรเรียกว่ามีคุณภาพ อะไรเรียกว่าไม่มีคุณภาพ

แสงก็เหมือนกันครับ ใช่ว่าจะมีคุณภาพตั้งแต่เช้าจรดเย็น มันมีช่วงเวลา และก็เป็นหน้าที่ของคนรักการถ่ายภาพอย่างเราๆ ท่านๆ ที่จะต้องหาเวลาคุณภาพแสงเหล่านั้นให้เจอ และบันทึกไว้ให้จงได้ ตั้งปฎิฐานไว้ก่อนครับ ทำทีหลัง

แสงที่ผมจะพูดถึงก่อนคือแสงธรรมชาตินะครับ ช่วงเวลาที่ถือได้ว่าเหมาะสมสำหรับประเทศไทยนะ ประเทศอื่นผมไม่อาจแนะนำเพราะไม่เจนพอ คือช่วงเช้าตรู่ และช่วงโพล้เพล้ เหมาะแก่การถ่ายภาพวิว ส่วนช่วงสายๆ สักแปดโมงถึงสิบโมงเช้า นี่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลเพราะไม่แรงมากนักและผู้ท ี่เป็นแบบหน้าตายังสดใส เพราะเพิ่งตื่นมานั่นเอง ใครที่อยากได้ไฮไลต์กับผม (Hair) ถ้าพลาดช่วงดังกล่าวก็มาหาช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ชนิดถือไม้เท้าเดินก็ได้ เอ้ามุขไป 1 ดอก ก็ไม่น่ารังเกียจ ลองหลับตานึกช่วงไปปิคนิคก็ได้ครับ ส่วนตอนกลางวันนั้นควรหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพ เพราะแสงแรงมาก และตำแหน่งแสงมันตั้งฉากอยู่บนหัวพอดี ดังนั้น คุณจะได้เงาแข็งๆ มาด้วย ซึ่งของแถมนี้ไม่ยักกับมีคนอยากได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามคุณภาพแสงตอนเที่ยงที่บางคนขยาดนั้น ผมพบว่ามันคือช่วงเวลาที่ดีสำหรับการถ่ายภาพเชิง Infrared มากๆ ผมไม่สามารถเขียนให้ความรู้เรื่องนี้ได้ แต่คุณสามารถหาอ่านจากแหล่งความรู้ที่มีผู้รู้ที่เก่ งด้านนี้ในเว็บไซต์อยู่แล้ว โดยรวม คุณภาพแสงที่ดีคือให้รูปทรง มิติและสีของภาพที่คุณอยากจะบันทึก ไม่จืด ไม่มากเกินไปครับ
เมื่อเข้าใจเรื่องแสงแล้วทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องกล้อ งและเลนส์กันเลย การทำงานของกล้องนั้นถ้าขาดเลนซ์ซึ่งเป็นตัวรวมแสงแล ะก่อให้เกิดภาพกับฟิล์ม หรือกับตัวรับภาพ (CMOS, CCD, etc) ก็ไม่สามารถทำให้เกิดภาพได้ โดยที่ดังเดิมแล้วระบบของกล้องถ่ายภาพถือกำเนิดมาแบบ กลไก ไม่ใช่อิเลคโทรนิค หากคุณมีคุณตา คุณอาที่สะสมกล้อง คุณจะเห็นได้ว่าความเก๋า (Classic) และมนต์เสน่ห์ของระบบที่พึ่งพาไฟฟ้าน้อยมากนั้นน่าทึ ่งเพียงใด อย่าทำเป็นเล่นนะครับ กล้องสมัยนี้พัฒนามาสู่ยุคดิจิตอลแล้ว แต่ล้วนแล้วอาศัยไฟฟ้าเป็นสำคัญยิ่งทั้งนั้น ถ้าคุณไม่มีแบต ก็คงได้แต่มองดูวิวสวยๆ หรือภาพที่อยากถ่ายนั้นผ่านไปอย่างอาดูร ไม่เหมือนกล้องกลไกที่คุณยังสามารถถ่ายภาพโดยไม่ต้อง อาศัยแบตเตอรี่ เรื่องวัดแสงเขามีกฎอย่าง ซันนี่16 หรือถ้ามีประสบการณ์อยู่แล้วก็พอกะๆ ค่าเอาได้ครับ ทำให้มันเป็นเพื่อนที่เชื่อใจได้มากที่สุด หรืออย่างน้อยก็ทนกว่ากล้องอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันรุ ่นใหม่ๆ อยู่มากโขละ (ดูเหมือนจะอยากระบายความอัดอั้นตันใจอย่างไรไม่รู้)

กลับมาที่กล้องต่อครับ ผมจะไม่พูดถึงเรื่องการเกิดภาพบนแผ่นฟิล์มเมื่อแสงมา ตกกระทบที่ตัวเนื้อฟิล์มที่มีการเปิดรับแสง (Exposure) หรือกับตัวรับภาพและชิพประมวลผลในกล้องดิจิตอล เพราะเนื้อหาส่วนนี้หาอ่านได้ไม่ยากนัก แต่ถ้ามีใครสงสัยก็ถามกันมาได้ครับจะเข้ามาตอบให้ต่า งหากดีกว่า

ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับศัพท์ที่จะคุ้นหูไปจนกว่า จะเลิกถ่ายภาพสองคำนั่นคือ รูรับแสง (Aperture) และความไวชัตเตอร์ (Shutter speed) กัน คำสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไรและมีความหมายอย่างไร
รูรับแสง และความไวชัตเตอร์เป็นคู่ฝาแฝดที่คลานตามๆกันมาตั้งแ ต่เกิด เป็นเสมือนประตูทางเข้าของแสง และตัวควบคุมจังหวะช้าหรือเร็วอะไรทำนองนี้ รูรับแสงจะชอบอยู่ที่เลนซ์มีตัวเลขที่คุ้นๆ กัน ตั้งแต่ f 1.0, f 1.4, f 2.0,
f 2.8, f 4, f 5.6, f 8, f 11, f 16, f 22, f 32, f 64 ถ้าใครเห็นตัวเลขมากกว่านี้อีกขอให้ทำใจว่าคงไม่มีปั ญญาจะไปใช้ ตัวเลขที่น้อยบอกเราว่ามันเป็น เลนซ์ที่ไวแสง ถ้าตัวเลขมากก็ เลนซ์ช้าแสง (ผมว่างั้นเองนะ) ด้วยคุณสมบัติความไวแสงนี่เองที่กำหนดความยากในการผล ิต เพราะผู้ผลิตเลนซ์ต้องควบคุม ออกแบบ และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับตัวเลนซ์อย่างรัดกุม และพิถีพิถันมากกว่าเลนซ์ที่ไวแสงน้อย ทำให้คุณจะพบว่าราคาค่าตัวของเลนซ์ไวแสงนั้นสูงเป็นเ งาตามตัว ความไวแสงที่ว่าทำให้โอกาสที่ช่างภาพจะบันทึกภาพภายใ ต้สภาพแสงน้อยได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือได้ความไวชัตเตอร์ที่ทำให้ภาพไม่สั่นไหวนั้นดีกว ่า บางคนก็สงสัยต่ออีกว่าไอ้ตัวเลขนั่นทำไมต้องเป็นเลขน ั้นเท่านั้น ทำไมไม่เป็นเลขอื่น คำตอบและคำแนะนำของผมคือ ไปอ่านประวัติการถ่ายภาพและการคิดค้นกล้องในหนังสือต ่อครับ สำหรับผมผมคิดว่ามันไม่มีนัยสำคัญที่จะต้องพิสูจน์ไป ถึงต้นตอ เพราะทุกวันนี้ก็ใช้ตัวเลขเหล่านี้ถ่ายรูปได้แบบสบาย ดีอยู่ครับ อ้อ ระยะห่างระหว่างตัวเลข เช่นจาก f 2.8 ไปถึง
f 4 นั้นเรียกว่า ห่างกัน 1 สตอป (Stop) นะครับ ใครเจอตัวเลขแปลกเช่น f 3.5, f 5 ก็อย่าตกใจที่จริงมันเป็นความห่างระหว่าง ½ สตอปครับ

ความไวชัตเตอร์ที่ควบคุมอยู่ที่ตัวกล้อง (Body) นั้นมีตัวเลขแตกต่าง เพราะเป็นเรื่องความเร็วก็ต้องมีเวลาเป็นตัวบอก ทีนี้หลักๆที่เคยพบเจอมาก็เริ่มกันตั้งแต่ 15 วินาที, 8 วิ, 4 วิ, 2 วิ, 1 วิ, ½ ¼ 1/8 1/15 1/30 1/60 1/125 1/250 1/500 1/1000 1/2000 1/4000 1/8000 ส่วนตัวเลขที่อยู่ระหว่างนั้นบางตัวเช่น 1/80 ที่หลายคนพบในกล้องดิจิตอลก็ไม่ใช่เลขลูกเมียน้อยแต่ อย่างใด แต่หมายถึงการแบ่งย่อยเศษในเสี้ยววินาทีออกเป็น ½ หรือ1/3 สตอป เพื่อการชดเชยแสงก็ดี หรือทำให้ค่าแสงพอดีก็ดี (อันนี้จะอธิบายละเอียดในขั้นตอนการชดเชยแสงต่อไป)

ทีนี้เราจับเอาทั้งรูรับแสง และความไวชัตเตอร์มาอธิบายกันต่อไปว่ามันทำงานควบคู่ กันอย่างไร และมีผลอะไร
จำให้ดีนะครับ หลักพื้นๆ ก็คือ รูรับแสงที่เลนซ์นั้นมีไว้ควบคุมระยะชัดตื้น ชัดลึก และชัดเละ อันหลังนี่ผมหมายถึงความละเอียดในระดับที่มีดเรียกว่ าพี่ นั่นคือตัวอย่างถ้าคุณใช้รูรับแสงที่ f2.8 ระยะชัดตื้นจะมาก และระยะชัดลึกจะน้อย ในทางกลับกัน ถ้าคุณใช้รูรับแสงที่ f32 คุณจะได้ระยะชัดลึกมาก และชัดตื้นน้อย สังเกตเห็นอะไรไหมครับ มันแป็นเกมครับ ด้านไหนเพิ่ม อีกด้านลด ขอให้จำตรงนี้ไว้ให้ดี มันเป็นหลักที่จะนำไปใช้ได้ต่อๆ ไป ทีนี้ขอกลับมาอธิบายเรื่องชัดตื้นและชัดลึกที่บางคนอ าจจะยังไม่เข้าใจ ผมเชื่อว่าคุณต้องเคยอ่านหนังสือพิมพ์กันบ้าง อย่างน้อยก็ข่าวแวดวงกีฬา คุณเคยเห็นภาพของเดวิด เบ็คแคมในจังหวะ เตะบอลในหน้าหนังสือพิมพ์ชนิดตัวเด้งออกมาจากฉากหลัง ไหมครับ นั่นแหละครับที่ผมเรียกว่าระยะชัดตื้น แต่ในอีกมุมหนึ่งคุณไปเปิดนิตยสารบ้านและสวน หรือนิตยสารท่องเที่ยวที่มีรูปภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ ชนิดเห็นทุกอย่างในภาพชัดเจนตั้งแต่บ้านไปจนถึงวิวด้ านหลังที่อยู่ไกลลิบ อย่างนั้นผมเรียกว่าภาพมีความชัดลึก ชัดเจนไหมครับ

ทีนี้ขอกลับมาที่ภาพข่าวกีฬาของเดวิด แบ็คแคมอีกที ภาพๆ นี้บางคนถามว่าทำไมถึงต้องเป็นภาพที่เน้นชัดตื้น ชัดลึกไม่ได้เหรอ คำตอบคือได้ครับทำไมจะไม่ได้ แต่คุณอาจไม่ได้ภาพที่คมนิ่ง หรือหยุดการเคลื่อนไหวของตัวแบบได้ฉะงัดนัก กอปรกับคุณจะเห็นฉากหลังที่ไม่เบลอมีหน้าแฟนบอลยืนแย ่งความเด่นของแบบอีก ทำให้จุดสนใจของภาพมีมากเกินไปครับ ด้วยความที่ถ้าเราเลือกใช้รูรับแสงที่กว้าง เช่น 2.8 ก็จะทำให้ได้ค่าความไวชัตเตอร์มันสูงขึ้นตาม ผลก็คือคุณสามารถหยุดเหตุการณ์ลงบนฟิล์มได้อย่างเหมา ะเจาะและคมชัดครับ

ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสง และความไวชัตเตอร์
ผมขอให้คุณทำความเข้าใจให้ถี่ถ้วนกระบวนความจากเรื่อ งข้างต้น และมาเรียนรู้ต่อถึงเรื่องความสัมพันธ์แบบกิ๊กที่ทั้ งสองทีให้แก่กันต่อไปดังนี้

ความสัมพันธ์แบบผกผัน นั่นก็คือถ้าคุณ เพิ่มด้านไหน อีกด้านลดลงทันที ตัวอย่างเช่น

เมื่อคุณได้ค่าวัดแสง(ยังไม่ต้องตกใจนะ เรื่องการวัดแสง จะพูดในตอนต่อไปแน่ๆ)ที่จะถ่ายรูปที่ f 2.8, s 1/500 ค่าที่เหมือนๆ กันกับค่านี้คือ
f 4, s 1/250
f 5.6, s 1/125
f 8, s 1/60
f 16, s 1/ 30

ความแตกต่างของค่าเหล่านี้ก็คืออะไรครับ คนที่อ่านเข้าใจข้างต้นคงรู้คำตอบแล้ว

ถ้าจะไม่กล่าวถึง iso เลยก็คงไม่ใช่คนแล้ว (อะไรขนาดนั้น) ทั้งค่ารูรับแสง และความไวชัตเตอร์ ที่ผมอ้างอิงข้างต้นเป็นค่าที่ iso 100 ค่าๆ นี้มันย่อมาจากอะไรผมจำไม่ได้แล้ว แต่รู้ว่ามันเป็นตัวที่บอกความละเอียดของภาพ และความไวแสงของฟิล์มที่เราต้องตั้งให้กล้องรู้ไว้ว่ าเราใช้ฟิล์ม iso อะไร หรือถ้าเป็นกล้องดิจิตอลก็เป็นการบอกกล้องว่าจะใช้คว ามไวของตัวรับภาพที่เท่าไหร่ จำไว้ว่ายิ่งค่า iso สูงมากเท่าไหร่ เกรน และความละเอียดก็จะหยาบขึ้นไปเท่านั้น (ดิจิตอลคือ noise สูง) ใน iso กลับกันคุณจะได้ภาพที่มีเกรนและความละเอียดที่ดีจนถึ งดีเยี่ยมเลย (ดิจิตอลคือ noise ต่ำ) ประโยชน์ของ iso นั้นยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เราใช้วิธีการ push และ pull ในกรณีคนที่ใช้ฟิล์ม กับ iso เช่นในกล้องที่ใช้อยู่มีฟิล์ม iso 100 แต่ต้องไปถ่ายงานคอนเสิรต์เปิดอัลบัม เอ...ทำไงดีหว่า จะไปกางขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายคงไม่มีที่แน่ ต้องถือถ่าย แต่ความไวแสงของฟิล์มแค่นี้ สั่นแน่ ได้ความไวชัตเตอร์ที่ต่ำแน่ อืมม..เอาละกดบอกกล้องไปเลยว่าใช้ iso 400 แล้วค่อยไปบอกกับร้านล้างฟิล์มว่า push 2 stops นะพี่ทีหลัง ทีนี้ได้ความไวที่พอจะจับภาพได้บ้างละน่า ตรงกันข้าม ถ้ามีฟิล์ม iso 400 แต่ดันต้องไปถ่ายภาพน้ำตก ด้วยความไวฟิล์มมากขนาดนี้ จะถ่ายสายน้ำให้พริ้วสวยๆ ได้อย่างไร คงถ่ายได้แต่ภาพน้ำแข็งทื่อเป็นแน่ ไม่สวย เอ้า..วะ กดบอกกล้องว่าใช้ iso 100 แล้วตอนเอาฟิล์มไปล้าง บอกร้านล้างว่าพี่ pull 2 stops พี่ เท่านั้นแหละก็สมปองหมาย และนี่คือประโยชน์และบทบาทของ iso ครับ ส่วนผู้ใช้กล้องดิจิตอลนั้นก็รู้ศัพท์นี้ไว้จะได้รู้ ที่มาที่ไป ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องไปล้างรูปแล้วก็ตาม

ครั้งต่อไป(เจอกันทุกจันทร์)จะว่าด้วยเรื่องของการวั ดแสง ที่ถือว่าใครวัดแสงได้เก่ง จักสามารถควบคุมแสงได้อย่างใจต้องการ ว่าไปนั่นเชียว เออ...ถือว่าเป็นกระทิทีเดียวนะครับ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง



การวัดแสง (Metering)
ทำไมต้องวัดแสง นั่นคือคำถามที่หลายๆ คนสงสัย ผมตอบแบบง่ายๆ ว่า ถ้าคุณรู้ว่าแต่ละช่วงเวลา แสงมีความแรงแตกต่างกัน อาจสว่างมาก หรือน้อยไม่เท่ากัน ผมก็คิดว่าคุณคงรู้แล้วว่าทำไมค่าเพียงค่าเดียวทำให้ เราใช้บันทึกภาพได้ไม่ครอบคลุมพอกับสภาพแสงที่หลากหล ายเหล่านั้น ก็พอๆ กับเรารินน้ำลงในแก้วน้ำใบหนึ่ง แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่ามันจะเต็มละครับ แก้วขนาดต่างกันยังใช้ปริมาณต่างกันเลย ฟิล์ม หรือตัวรับภาพที่ไวต่อการรับแสงก็ต้องการ การเปิดรับแสงที่แตกต่างกันด้วยประการฉะนี้

ถ้าคุณยังไม่ได้ทำความเข้าใจเรื่อง รูรับแสง และความไวชัตเตอร์ ที่ผมเขียนไว้ในบทความบทก่อนหน้านี้ ผมแนะนำให้กลับไปอ่านตรงนั้นให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยมาอ่านสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เพื่อจุดประสงค์เดียวครับ คือเข้าใจเรื่องถ่ายภาพให้เป็นจริงๆ เสียที

คุณรู้เรื่องการเปิดรับแสง (Exposure) ด้วยตัวควบคุมการเปิดรับสองตัวคือ รูรับแสง (F-stops) และความไวชัตเตอร์ (Shutter speed) อย่าเพิ่งเบื่อศัพท์สองคำนี้นะครับ เพราะถือได้ว่าคุณจะต้องใช้มันไปตลอดอายุการถ่ายรูปข องคุณ ปกติคำถามมักจะอยู่ที่ว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะคว บคุมมันให้ได้ ภาพ (Shot) อย่างที่เห็น หรืออย่างที่จะบันทึก ผมขอแนะนำให้รู้จัก Mr. Meter แกทำงานกับสมาคมถ่ายภาพทั่วโลกนี้มานาน และก็สิงสถิตอยู่ในกล้องทุกตัว แต่คุณจะได้ใช้แกตรงๆ หรืออ้อมหรือเปล่าเท่านั้น เดี๋ยวคนอ่านจะสับสน ผมมุขนะครับ ที่จริงผมกำลังพูดถึงเครื่องมือที่จะทำให้เราวัด (Measure) + แสง (Light) บางคนถามว่าใช้ไม้บรรทัดวัดได้ไหม ผมว่าคงได้ที่พระรามเก้าคาเฟ่นะครับ

ตัวมิเตอร์วัดแสงนี้กล้องสมัยก่อน หรือแบบกลไก คุณจะเห็นเข็ม 2 เข็มไม่ด้านล่าง Viewfinder ก็ด้านขวามือ เข็มสองเข็มนี้ เข็มหนึ่งจะมีปลายเข็มเป็นวงกลมกลวงตรงกลาง และอีกเข็มหนึ่งเป็นเข็มยาวธรรมดา เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเลือกรูรับแสง และความไวชัตเตอร์สัมพันธ์กัน เข็มทั้งสองนี้จะโคจรมาทาบกันพอดี ดูจากรูปประกอบนะครับ
นี่คือสิ่งที่เครื่องวัดแสงบอกว่าแสงพอดีครับ แปลว่าถ้าคุณถ่ายภาพตามค่ารูรับแสง และความไวชัตเตอร์นี้คุณจะได้ค่าแสงที่พอดีแน่นอนครั บ แต่ทว่าคำว่าพอดี มันไม่ดีพอนะครับ เพราะบ่อยครั้งที่บางคนบอกว่าผมก็วัดแสงที่พอดีทำไมไ ด้ภาพที่ไม่ถูกต้อง คำตอบคือวัดผิดที่ครับ

ทำอย่างไรจะวัดแสงได้ถูกที่ถูกทาง
ก็ตอบง่ายๆ ว่าวัดที่บริเวณที่ควรวัดนะซิครับ และก็ต้องรู้จักด้วยว่าระบบวัดแสงมันมีกี่ระบบ และแบบไหนเหมาะกับแสงแบบไหน ระบบวัดแสงในกล้องปัจจุบันทั้งอัตโนมัติ (Automatic) และปรับแต่งเอง (Manual) หรือแม้แต่ในกล้องดิจิตอล มี 3 ระบบหลักๆ ครับคือ

1)ระบบเฉลี่ยหนักกลาง (Centre-weighted metering)
2)ระบบเมทริก(ขอทีอย่าโยงถึงหนังเลยนะ) (Matrix or Multi-zone metering) หรือแบบเฉลี่ยคำนวณแสงหลายโซนแบบซับซ้อน แต่ไม่ยากที่จะเข้าใจ
3)ระบบเฉพาะจุด (Spot or Partial metering)

ระบบที่ 1 เป็นระบบที่เหมาะกับการวัดแสงในสภาพที่แสงไม่ซับซ้อน หรือภาษาชาวบ้านคือสภาพแสงปกติธรรมดา น้ำหนักของแสงมันสม่ำเสมอ ไม่มีส่วนแตกต่างของน้ำหนักแสงมากนัก ตามชื่อก็คือเฉลี่ยหนักกลางคือมันวัดเฉลี่ยค่าแสงตรง กลางภาพ 75% และอีก 25% เป็นพื้นที่โดยรอบหนักกลางจริงๆ หรือให้ความสำคัญกับค่าตรงกลางเป็นเป็นหลัก

ระบบที่ 2 ระบบนี้ฉลาดขึ้นมาจากการที่ใช้ค่าวัดแสงหลายๆ จุด แล้วแต่เทคโนโลยีของกล้อง ในรายละเอียดแล้วผมขอไม่พูดถึงเพราะเข้าใจการทำงานก็ เพียงพอ ต่อครับ คือ กล้องจะประมวลผลค่าจากจุดวัดแสงที่แต่ละยี่ห้อกำหนดไ ว้หลายๆ จุด(หลายจุดมาก แต่บอกไม่ได้ว่ากี่จุด) มาเฉลี่ยให้ได้ค่าที่เหมาะสม ซึ่งฟังดูแล้วน่าอุ่นใจ และน่าจะปลอดภัยมากที่สุด และดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบมันก็คือระบบ ยังไงก็ไม่มีใครฉลาดกว่าคุณ หรือรู้จักสิ่งที่มันกำลังถ่ายอยู่บางสภาพแสงอยู่ดีค รับ ระบบนี้เหมาะกับการถ่ายภาพสภาพแสงที่หลากหลายมากขึ้น อาจมีความเปรียบต่างของแสงสูง แต่ไม่มากนักโดยที่ให้ค่าที่ถูกต้องได้พอประมาณ เห็นว่ากล้องดิจิตอลบางรุ่นปัจจุบันมีการนำเอาข้อมูล ถ่ายภาพของรูปภาพในสภาพแสงหลายๆ แบบ ประมวลให้ชิพ (Processor Chip) มีฐานข้อมูลมากยิ่งขึ้นช่วยให้การวัดแสงแม่นยำมากยิ่ งขึ้น เขาว่างั้นนะ แต่ผมแนะนำให้คุณเชื่อมือตัวเองดีกว่าครับ

ระบบที่ 3 ระบบวัดแสงเฉพาะจุด ระบบนี้เหมาะกับการวัดแสงที่สภาพความแตกต่างของแสงมี สูง หรือมีความเปรียบต่างของแสงสูง ระบบนี้เป็นระบบที่ผมคิดว่าแม่นยำมาก แต่ก็ทำให้ได้ค่าที่ผิดที่สุดได้ในคราวเดียวกัน เพราะคุณจะต้องรู้พื้นที่ๆ จะวัดอย่างดีพอ ซึ่งเรื่องนี้ผมมีตัวช่วยครับ

การที่เรารู้จักเลือกระบบวัดแสงให้เหมาะสมนั้นยังไม่ ดีพอ เราต้องรู้จักพื้นที่ๆ จะวัดด้วย เอ..ผมยังไม่ได้บอกเลยใช่ไหมว่าใช้ตรงส่วนไหนวัด ส่วนใหญ่เซลวัดแสงมันจะอยู่ตำแหน่งตรงกลาง viewfinder นั่นแหละครับ เวลาคุณเล็งไปวัดแสงก็ให้ถือว่าพื้นที่ตรงกลางนั้นเป ็นฐานบัญชาการใหญ่ไว้เลย จะวัดอะไรก็เล็งไปตรงนั้น นี่เป็นหลักเบื้องต้นครับ ทีนี้พื้นที่ๆจะวัดนี่ตรงไหนละ ก็ต้องอธิบายเรื่อง สีเทา 18% ให้ฟังอย่างไม่ต้องสงสัย ในวงการนี้ให้การยอมรับเรื่องที่มีการทดลองเรื่องการ สะท้อนของแสงกับสีต่างๆ ที่เราเห็นๆ ว่าค่าสีเทา 18% เป็นค่าการสะท้อนที่ให้ค่าการสะท้อนปริมาณแสงที่ถูกต ้องและสม่ำเสมอมากกว่าสีอื่นๆ ทีนี้บางคนไม่รู้ว่าสีเทาก็เทาซิ แล้วผมและดิฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านี่มันกี่เปอร์เซนต ์ โอ้ยวุ่นวายกับชีวิตเสียจริง ถ้างั้นผมอยากให้คุณจดจำและเปรียบเทียบว่าอันไหนน่ะ สีเทา 18% อันไหนสีเทา เปอร์เซนต์อื่นๆ จากภาพๆ นี้ มันจะลำบากหน่อยในตอนต้น แต่ผมอยากบอกว่าต้องคอยสังเกตและจดจำ เพี้ยนได้ครับ อาจไม่ต้อง 18% เป๊ะๆ แต่ใกล้เคียงก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ ที่เหลือก็ใช้การชดเชยแสงเอา ซึ่งเรื่องนี้ไว้อธิบายทีหลังครับ


เห็นช่องสีเหล่านี้ใช่ไหมครับ เอ...ไหนว่าจะให้ดูภาพที่เป็นสีเทา 18% ไงทำไมมีสีติดมาด้วย ก็เพราะโลกเราและตาเรานั้นไม่ได้เป็นขาวดำนะซิครับ มันดันเห็นสีได้ตั้ง 16.8 ล้านสี แต่แปลกไหมเรารู้จักมันทุกสีเลยนะ แต่บอกความแตกต่างแบบละเอียดได้ยากเท่านั้น สีที่คุณเห็นทั้งหมดนี้ให้ค่าการสะท้อนใกล้เคียงมากๆ กับสีเทา 18% และเราควรจะวัดแสงตรงจุดที่ใกล้เคียงสีเทา 18% เหล่านี้แหละรับรองเจ๋งเป้งเลย เพราะฉะนั้นรู้แล้วใช่ไหมว่าควรจะวัดแสงในสภาพชีวิตจ ริงๆ ตรงไหน (ถ้ายังไม่รู้เอามะเหงกเขกตัวเองหนึ่งที)
อย่าลืมนะจำสีเทา 18% ให้ได้ก่อน ส่วนสีอื่นๆ ก็จำเท่าที่เห็นหลักๆ นี่แหละครับ ผมว่าพอเพียงแล้ว
แหมที่จริงบางคนพออ่านถึงตรงนี้แล้วก็ไปถ่ายภาพได้แล ้ว แต่ผมว่ารออ่านจบก่อนดีกว่าครับ เพราะยังมีรายละเอียดบางอย่างที่ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงแ ละสำคัญเหมือนกัน คุณว่าไหมเรื่องนี้มันสำคัญแต่มีใครต่อหลายๆ คนไม่ยอมบอกกันง่ายๆ ซึ่งผมคิดว่านั่นคือความอ่อนแอ เพราะหลักสำคัญของการถ่ายภาพไม่ใช่วิธีที่จะถ่าย แต่อยู่ที่ช่วงขณะนั้น (Moment) ที่คุณจะมีโอกาสบันทึกมันหรือเปล่าอันนี้ยากกว่า และ มันอยู่ที่การที่เราได้เล่าเรื่องราวผ่านมุมมอง และความคิดของเรา ให้คนอื่นๆ ฟังอย่างมีศิลป์ต่างห่าง ยิ่งมีคนบันทึกภาพได้มากเท่าไหร่ ผมกลับเห็นเป็นเรื่องที่ดี มากกว่าเสียอีก ส่วนเรื่องเทคนิค นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์อันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ว่าจะแบ่งบันหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ เอาละเราจะมาต่อตอนต่อไปจันทร์หน้าของเรื่องรายละเอี ยดการวัดแสงที่เห็นต้องแบ่งออกเป็นอีกตอนครับ
สืบเนื่องจากที่ผมแนะนำประเภทระบบวัดแสงและความเหมาะ สมในการใช้งานนั้น ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นอย่างนั้น หรือเหมาะกับทุกคนอย่างนั้นเสมอไปนะครับ โลกนี้เต็มไปด้วยสไตล์ครับ ใครทดลองและเห็นว่าแบบไหนเหมาะกับสภาพไหนและใช้ถ่ายร ูปได้ผลอย่างที่ต้องการ ผมถือว่านั่นแหละถูกต้องกว่าครับ ที่แนะนำไปเป็นแนวทางกลางๆ นะครับอาจทดลองแล้วเห็นว่า ตนเองอาจเหมาะและถนัดกับอีกแบบมากกว่าก็เลือกแนวนั้น ไปได้เลยครับ

ทีนี้ต่อเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยนะครับ การวัดแสงก็เพื่อให้ได้ค่าแสงที่ถูกต้อง แต่บางสถานการณ์คุณจะพบว่ามันมีเรื่องความต่างในเรื่ องแสงที่ทำให้เราได้ภาพที่แสงถูกต้องมาเพียงบางส่วน ไม่เห็นเหมือนกับที่ตาเราเห็น ก็เพราะว่าความสามารถในการรับช่องการรับแสงระหว่างตา กับฟิล์มหรือดิจิตอลนั้น ไม่สามารถเทียบกันได้ ตาคนเรานั้นยอดเยี่ยมกระเทียมดองมาก แต่กับความสามารถในการเก็บรายละเอียดส่วนต่างของฟิล์ มและดิจิตอลนั้นยังคงมีช่วงจำกัดอยู่ครับ เช่นเมื่อคุณถ่ายภาพโดยวัดแสงในส่วนที่สว่าง จะมีรายละเอียดส่วนมืดที่คุณเห็นแต่เก็บมาไม่ได้ และในขณะเดียวกันถ้าคุณวัดแสงในส่วนมืดให้พอดี รายละเอียดในส่วนสว่างจะหายไปด้วย มันเป็นอย่างนี้ ไม่ถือว่าผิดปกติครับ วิธีแก้ไขปัญหาพวกนี้มีหลายวิธี ถ้าทันสมัยหน่อยก็ใช้ความสามารถของดิจิตอลเข้าช่วย คือถ่ายมา 2 เฟรม แต่ล็อกตำแหน่งให้เหมือนกันนะครับ และถ่ายเก็บรายละเอียดทั้งส่วนมืด 1 เฟรม และส่วนสว่าง 1 เฟรม

แล้วนำมาผสมกันด้วยการแต่งภาพภายหลังก็จะได้ภาพที่ได ้รายละเอียดทั้งส่วนมืดและสว่างอย่างที่ต้องการเลย พอพูดถึงเรื่องการแต่งภาพก็อดอยากแสดงความเห็นเรื่อง ที่ว่า บางคนถือว่าการแต่งภาพเป็นการโกง ไม่ใช่ฝีมือ ภาพถ่ายที่ดีควรจะมาจากการถ่ายในครั้งเดียว หรือจะทำอะไรก็ทำมันซะตั้งแต่แรกนั่นแหละถึงจะเรียกว ่ามีฝีมือ ไม่ใช่มาปรับโน่นปรับนี่ทีหลัง “โกง”นี่ แต่ผมคิดอีกมุมหนึ่งครับ ผมคิดว่าถ้าจะวัดเรื่องการใช้เครื่องไม้เครื่องมือสน องอีโก้ใครบางคนก็ตามสบาย แต่ผมเป็นจำพวกถืองานที่ “ผล”ของงานและจินตนาการของคนที่ต้องการถ่ายทอดมากกว่ าอื่นใด ในโลกของระบบดิจิตอลแล้วผมคิดว่าการปรับตั้งอะไรต่าง ๆ มันไม่ได้ผิดอะไร ถ้ามันอยู่ในจินตนาการหรือวิธีที่เขาเลือกจะถ่ายทอดง านออกมา คนที่เห็นภาพจะตีความและจะชอบหรือไม่นั้นสุดแล้วแต่ (อันนี้ไม่ข้อพูดถึงเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมนะครับ) ถ้าเป็นสมัยก่อนใช่การแต่งภาพนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมันเหมือนกับการโกง เพราะทุกคนเริ่มต้นจากสิ่งๆ เดียวกันนั่นคือกล้อง เพราะฉะนั้นจะวัดผีมือกันก็ต้องวัดเฉพาะจากที่ถ่าย ไม่ใช่ที่ปรับปรุง แต่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปัจจุบัน ที่ผมเห็นว่ามันมีคุณลักษณะต่างกันไปตามกาลเวลาของมั น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการโกง อย่างที่ใครๆ กังวลกัน ตรงข้ามคุณจะได้เห็นอะไรที่สร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้คุณภาพบางอย่างจะยังเทียบไม่เท่าก็ตาม

ต่อครับวิธีที่คลาสสิคมากกับการควบคุมการเปิดรับแสงข องภาพคือการรู้จักระบบ zone system ของปรามจารย์ Ansel Adam ผมไม่ลงรายละเอียดเพราะมันจะยากไปสำหรับคนทั่วไป แต่ให้รู้ไว้ซึ่งหลักการนั่นคือ ถ้าคุณเก็บรายละเอียดส่วนกลางของโทนโดยรวมของภาพได้ คุณจะได้รายละเอียดของส่วนที่มืดหรือสว่างกว่าค่ากลา งนี้ไปด้วย ทำให้เมื่อคุณต้องการรายละเอียดส่วนอื่นที่ไม่แสดงออ กให้แห็นแต่สามารถดึงเอาออกมาได้(ภาษาห้องมืด หรือคนที่เคยอัดภาพขาว-ดำรู้จักกันคือ Dot และ Burn) ทีหลังก็สามารถทำได้ เพราะเราเก็บช่วงค่ากลางนั้นมาได้แล้วนั่นเองครับ ในรายละเอียดแล้วผมขอแนะนำให้คนที่เอาจริงเอาจังกับก ารเก็บรายละเอียดได้หาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวก ับช่างภาพชาวอเมริกันผู้เป็นตำนานคนนี้รับรองไม่ผิดห วังครับ

ถ้าคุณคิดว่ามันยุ่งยากสำหรับการจำสีหรือส่วนที่จะวั ดแสงให้เหมือนค่าเทากลาง 18% เชิญวิธีนี้ครับ นั่นคือกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการบันทึกภาพ นั่นคือ เราบันทึกแสง ดังนั้นให้พิจารณาว่าแสงที่เราจะเจอปัญหาที่จะเกิดกั บภาพมีอยู่ด้วยกัน 2 กรณี นั่นคือ สว่างกว่าปกติ และมืดกว่าปกติ หรือ Over exposure & Under exposure

กรณีที่เรามักได้ค่าการบันทึกไปในทางสว่างมากกว่าปกต ิ (Over exposure ) เพราะสภาพแสงสะท้อนจากวัตถุ หรือตัวแบบ (Subject)มันเป็นโทนมืด เซลวัดแสงถูกหลอกให้กล้องเปิดรับแสงมากกว่าปกติ วิธีแก้ให้ได้ค่าที่พอดีให้คุณชดเชยแสงไปในลบ เช่น เมื่อคุณวัดแสงได้ที่ f5.6 s1/60 ถ้าคุณต้องการความชัดลึก และพอใจกับ Shutter speed นี้อยู่แล้ว ก็ให้ปรับเป็น f8 s1/60 ถ้าคุณคิดว่าอยากให้ภาพคุณได้ความเคลื่อนไหวที่นิ่งม ากขึ้นและพอใจกับช่วงความชัดลึกที่ f.5.6 ก็ปรับ s1/125 ก็เท่ากับว่าคุณชดเชยแสงไป 1 สตอป* ทั้งนี้ปริมาณการชดเชยนั้นจะแตกต่างกันไป ปริมาณการสะท้อนของแสง ดังนั้นทางที่ดีคุณควรทำการถ่ายภาพคร่อมไว้ด้วย อย่าไปนึกว่าเป็นวิธีการมือสมัครเล่น มือโปรก็เห็นถ่ายกันตายกันถมไป น้อยครับที่ถ่ายรูปเดียว ชัวร์เลย ผมว่ามีตัวเลือกมากกว่ายังดีกว่าไม่มีโอกาสจะถ่ายแบบ นั้นอีกนะครับ ยิ่งเราใช้ประโยชน์จากดิจิตอลไฟล์ได้โดยไม่ต้องมีค่า ใช้จ่ายก็น่าจะลองเพื่อให้เกิดความรู้ ก่อนจะแน่หรือเริ่มเชี่ยวแล้วก็จะรู้เองว่าควรชดเชยป ระมาณไหน

กรณีที่เรามักได้ค่าการบันทึกไปในทางมืดมากกว่าปกติ (Under exposure) เพราะสภาพแสงสะท้อนจากวัตถุ หรือตัวแบบ (Subject)มันเป็นโทนสว่าง เซลวัดแสงถูกหลอกให้กล้องเปิดรับแสงน้อยกว่าปกติ วิธีแก้ให้ได้ค่าที่พอดีให้คุณชดเชยแสงไปในทางบวก กรณีนี้อย่างเช่นไปถ่ายในสภาพวัตถุที่มีการสะท้อนแสง สูง เช่นสีขาวของเจดีย์ หรือผ้าขาวเป็นต้น (บ้านเราพอดีไม่มีหิมะเลยไม่อยากยกเป็นตัวอย่าง) ดังนั้นจากค่าการวัดแสงที่อ่านได้ f 5.6 s1/500 ก็สามารถปรับได้ทั้งค่า f และ s เหมือนด้านบน ค่าเหล่านี้ได้ผลเหมือนกัน คือปรับบวก 1 สตอป* ได้แก่ f 5.6 s1/250 และ f 4 s1/500

*ทั้งนี้ค่าการชดเชยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง ½ - 2 สตอป

ขอให้ระวังนิดหนึ่งนั่นคือ บางคนใช้หลักการนี้กับการถ่ายภาพวัตถุสีดำบนพื้นขาว หรือหลังสว่าง และทางกลับกันนั่นคือวัตถุสีขาวบนพื้นดำ หรือหลังมืด ทีนี้จะทำอย่างไรกับชีวิตดี...ไม่ยากครับ คุณวัดแสงไปที่จุดไหนละครับ และวัตถุที่คุณวัดนั้นตรงกับข้อไหนที่ผมบอกก็ตามนั้น ละครับ ใช้เป็นกรณีเดียวกับคนผิวคล้ำ กับคนผิวขาวด้วยนะครับ

นอกจากเรื่องการวัดแสงแล้วยังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นน ั่นคือ ความคิด ครับ ผมรู้สึกว่าการถ่ายภาพคือการเล่าเรื่องด้วยภาพ ดังนั้นโจทย์คือคุณต้องการจะบอกอะไร หรือจะบันทึกเพื่ออะไร คำตอบนั้นคุณคนเดียวเท่านั้นจะนึกได้ นั่นคือความแตกต่างระหว่าง การถ่ายภาพแบบไม่มีความคิด ที่ไม่รู้สึกถึงอะไรที่ถ่ายทอดออกมาเลย จืดราวกับก๋วยเตี๋ยวเฮียลืมปรุงอะไรอย่างนั้น

ผมมีสูตรแนะนำสำหรับคนที่จริงจังกับการถ่ายภาพ โดยให้ความสำคัญตามลำดับดังนี้

1)ถ่ายไปทำไม (ถ่ายแก้บน อันนี้ล้อเล่น ถ่ายไม่ออก อันนี้ก็ทานน้ำให้มากๆ เอ้า...เข้าไป) คือบางคนถ่ายเพื่อบันทึกรูปตัวเอง ซึ่งผมว่าส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ละ หรือถ่ายเพื่อเก็บเป็นข้อมูล อันนี้ไม่เน้นสวย แต่เน้นชัด หรือถ่ายเพื่อการใดการหนึ่ง หรือมีแนวการเล่าเรื่องที่ตัวเองอยากบอกอะไรประมาณนี ้แหละครับ บางคนคงรู้ว่าช่างภาพในวารสารกรอบเหลืองต่างประเทศที ่ขึ้นชื่อว่าถ่ายภาพได้รูปสวยๆ มาลงตามการมอบหมาย ภาพเยี่ยมๆ ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนมีคำตอบที่ผมตั้งไว้ทั้งนั้น

2)จะถ่ายอย่างไรให้น่าสนใจ หรือนึกภาพในสมองขึ้นมาก่อน (Pre-visualization) นำไปสู่การจัดองค์ประกอบ และมุมมอง

3)จะควบคุมและวัดแสงให้ได้ “ภาพ” อย่างที่ต้องการได้อย่างไร

4)ตรวจทาน และรักษาไฟล์หรือฟิล์มให้ดี

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย อย่างว่าครับคนอื่นอาจมีการจัดลำดับความสำคัญต่างไปจ ากนี้ก็ไม่แปลกอะไร เพราะนี่ไม่ใช่กฎ ใครถนัดอย่างไหนก็ทำอย่างนั้น และจะได้เห็นภาพสวยๆ กันมากขึ้นนะครับ ใครสงสัยข้อไหนก็ถามได้นะครับ
ตัวอย่างภาพ 1
สถานะการณ์ที่เลือกวัดแสงกับ subject ที่เน้นรายละเอียด และไม่สนใจฉากหลัง
ตัวอย่างภาพ 2
สถานะการณ์ที่เลือกวัดแสงกับ background เพราอยากเน้นรูปทรง ภาพจำพวกนี้เรียกว่า silhouette ฉากหลังได้รายละเอียดแต่ด้านหน้าจะได้แต่รูปทรง
สองภาพนี้ใช้ระบบวัดแสงเฉพาะจุด เลือกที่ตำแหน่งที่ต้องการเน้น รูป 1 วัดที่ตัวหลังคา ไม่ชดเชยแสงใดๆ เพราะสภาพแสงไม่ได้สว่าง หรือมืดกว่าปกติ ส่วนรูปที่ 2 วัดไปที่ท้องฟ้า (ไม่ใช่ตรงพระอาทิตย์) แล้วก็ถ่ายโดยไม่ชดเชยแสงเหมือนกัน พอดีเป็นช่วงที่ไม่ได้ถ่ายย้อนแสง ก็ได้รูปทรงของหลังคามาอย่างที่เห็นละครับ

เทคนิคการวัดแสง

การตั้งรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์
...........การถ่ายภาพที่จะให้ได้ภาพถ่ายมีลักษณะที่ไม่มืดมัวหรือสว่างจนเกินไปนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความเข้าใจการปรับตั้งขนาดของ ช่องรับแสง(Aperture) และความเร็วของเตอร์(Shutter speed) ให้ทำงานสัมพันธ์กับความไวแสงฟิล์มเพื่อได้ปริมาณของ แสงเข้าไปทำปฏิกิริยากับฟิล์มได้พอดี ช่องรับแสงจะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณของแสงที่จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับฟิล์ม ร่วมกับชัตเตอร์ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเวลาให้แสงเข้าไปในกล้องได้เป็นระยะเวลานานเท่าใด การปรับขนาดช่องรับแสงที่แตกต่างกันนอกจากจะมีผลทำให้ปริมาณของแสงเข้าไปในกล้องต่างกันแล้ว ยังทำให้ระยะความคมชัดของภาพแตกต่างกันไปอีกด้วย ซึ่งเรียกว่าภาพถ่ายมีช่วงความชัด(Depth of Field) ต่างกัน ส่วนการปรับความเร็วของชัตเตอร์ก็เช่นกัน หากมีการปรับหรือเปลี่ยนความเร็วของชัตเตอร์ ปริมาณของแสงก็จะเข้าไปในกล้องจะต่างกัน และยังมีผลต่อการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่อีกด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสงกับความเร็วชัตเตอร์
...........เนื่องจากรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ทำงานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เมื่อมีการปรับหรือเปลี่ยนรูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์ ปริมาณของแสงที่เข้าไปในกล้องก็จะเปลี่ยนไปด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการปริมาณแสง 100% หากเปิดช่องรับแสงกว้าง 20% ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ 80 % หรือ ถ้าเปิดช่องรับแสงกว้าง 50 % ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ 50 % และถ้าเปิดช่องรับแสงกว้าง 80 % ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ 20 % จึงจะได้ปริมาณแสงที่เท่ากัน ในการถ่ายภาพที่สภาพของแสงที่มีแสงแดด และปรากฎว่าเครื่องวัดแสงกำหนดให้เปิดช่องรับแสง f11 ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที จะได้ภาพที่รับแสงได้พอดี แต่ถ้าเราต้องการเปลี่ยนไปใช้ความเร็วชัตเตอร์ให้เร็วขึ้น 1 ขั้น คือ 1/250 วินาที เพื่อจับภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง ก็จำเป็นต้องเปิดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น 1 สตอป คือ f8 เพื่อชดเชยให้ได้ปริมาณแสงเข้ากล้องพอดี ในทำนองเดียวกัน หากเราต้องการใช้ความเร็วชัตอตอร์ช้าลงจากเดิม 1 ขั้น คือ 1/60 วินาที ก็ต้องปรับขนาดช่องรับแสงให้แคบลง 1 สตอป นั่นคือ ด16 จึงจะรับปริมาณแสงได้พอดี เป็นต้น ข้อควรจำที่ง่ายๆก็คือ ในการเลือกใช้ขนาดรูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ ต้องใช้ให้สัมพันธ์กันโดยคำนึงถึง ความไวแสงฟิล์มที่ใช้ด้วยเมื่อต้องการเลือกปรับขนาดช่องรับแสงเป็นสำคัญก็ตองปรับเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์ให้เร็วขึ้น หรือช้าลงตามสภาพของแสงขณะถ่ายภาพ ทำนองเดียวกันหากต้องการปรับเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์เป็นหลัก ก็ต้องเปลี่ยน ขนาดช่องรับเสงให้กว้างขึ้นหรือแคบลงตามสภาพของแสงเช่นเดียวกัน

การปรับขนาดช่องรับแสงและความเร็วชัตเตอร์
...........การปรับขนาดช่องรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กันนั้นอาจได้ความรู้จากคำแนะนำหรืออุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

ตรวจดูคำแนะนำจากบริษัทผู้ผลิตฟิล์ม
..........1.ในกล่องฟิล์มแต่ละม้วนจะมีคำแนะนำในการใช้ฟิล์ม และตารางคำแนะนำในการปรับขนาดช่องรับแสงและการตั้งความเร็วชัตเตอร์ในสภาพแสงต่างๆกัน ซึ่งมักจะเขียนเป็นรูปภาพ หรือสัญลักษณ์ต่างๆ
..........2.ใช้เครื่องวัดแสงอุปกรณ์วัดสภาพแสงสว่าง อาจมีอยู่ในตัวกล้องถ่ายภาพ หรือเป็นเครื่องวัดแสงแยกต่างหากจากตัวกล้อง ทั้งสองชนิดจะช่วย วัดสภาพแสงสว่าง และกำหนดการปรับขนาดช่องรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ได้ถูกต้องแม่นยำ

หลักพื้นฐานในการปรับขนาดช่องรับแสงและความเร็วชัตเตอร์
..........สำหรับในข้อนี้ มีหลักเบื้องต้นอยู่ว่าการถ่ายภาพในขณะที่มีแสงแดดจัด เมื่อปรับขนาดช่องรับแสงที่ f16 ให้ตั้งความเร็วชัตเตอร์ ตรงหรือใกล้เคียงกับตัวเลขความไวแสงของฟิล์มที่ใช้ถ่ายภาพ เช่นถ้าใช้ฟิล์มสี ความไวแสง 100 ISO ก็ให้ตั้งความเร็วชัตเตอร์ ที่ 1/125 วินาที และปรับขนาดช่องรับแสง f16 ในขณะที่มีแสงแดดจัด ปริมาณของแสงจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับฟิล์มได้พอดี หากสภาพของแสงแดดอ่อนลง นั่นคือแสงน้อยลงก็ต้องปรับขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น 1 สตอป นั่นคือ f 11 หรือถ้าสภาพแสงในร่มเงาก็ควรปรับขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้นอีก คือ f8 เป็นต้น

ตารางประมาณการปรับขนาดช่องรับแสงและความเร็วชัตเตอร์
.........ในการปรับขนาดช่องรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ในสภาพแสงที่ต่างกันนั้นพอสรุปได้ดังตารางการเปลี่ยนแปลงขนาดช่องรับแสงและความเร็วชัตเตอร์จะมีผลทำให้ภาพถ่ายมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไปดังนี้

การเปลี่ยนแปลงขนาดช่องรับแสง
............การปรับขนาดช่องรับแสงให้เล็กเช่น ปรับไว้ที่ f16 หรือ f11 จะทำให้ลักษณะของภาพถ่ายมีช่วงความชัด (Depth of field) สูงมากคือ วัตถุที่อยู่ใกล้และไกลจากกล้องถ่ายภาพ จะมีความชัดตลอด เรียกว่า ชัดลึก และถ้าปรับขนาดช่องรับแสง ให้กว้างเช่น f1.4 หรือ f2 ภาพถ่ายจะมีความคมชัดอยู่เฉพาะในช่วงที่เราปรับระยะโฟกัส ระยะนอกนั้นจะเบลอ ไม่ชัดเจน เรียกภาพถ่ายนั้นว่ามีความชัดตื้น

การเปลี่ยนแปลงความเร็วชัตเตอร์
............การตั้งความเร็วชัตเตอร์สูงเช่น 1/1000 วินาที หรือ 1/500 วินาที ถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวจะได้ภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวนั้น หยุดนิ่งอยู่กับที่ เรียกภาพถ่ายนั้นว่าภาพ Stop action แต่ถ้าตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำ เช่น 1/30 วินาที หรือ 1/15 วินาที ถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว จะได้ภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวนั้น ดูประหนึ่งว่ากำลังเคลื่อนที่มีความเร็ว

ช่วงความชัด (Depth of Field)
............ภาพถ่ายที่มีความชัดตั้งแต่วัตถุที่อยู่ระยะหน้า (Foreground) ไปถึงวัตถุที่อยู่ระยะหลังสุด (Background) ของระยะตำแหน่งที่ปรับความชัดในภาพ เราเรียกภาพนั้นว่าเป็นภาพที่มีความชัดลึกมาก คือชัดตลอด ขณะเดียวกันมีภาพถ่ายบางภาพมีความชัดเฉพาะตำแหน่งที่เราปรับ Focus ไว้ ส่วนระยะหน้าและระยะหลังจะพร่ามัวไม่ชัดเจน เราเรียกภาพนั้นว่ามีความชัดตื้น

ความชัดลึกของภาพนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ
...........1. เลนส์ของกล้องถ่ายภาพที่มีระยะความยาวโฟกัสสั้น เช่น เลนส์ 28 มม. จะให้ภาพที่มีความชัดลึกมากกว่าเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสยาว เช่น 50 มม. หรือ 135 มม.
...........2. การปรับขนาดของช่องรับแสง ภาพที่ปรับช่องรับแสงแคบมาก เช่น f16 หรือ f11 จะให้ภาพที่มีความชัดลึกมากกว่าการปรับช่องรับแสงให้กว้าง เช่น f16 หรือ f11 จะให้ภาพที่มีความชัดลึกมากกว่าการปรับช่องรับแสงให้กว้าง เช่น f2 หรือ f1.4
..........3. การถ่ายภาพที่กล้องอยู่ห่างจากวัตถุที่ถ่ายไกลมาก เช่น 10 ฟุต จะได้ภาพที่มีความชัดลึกมากกว่าที่กล้องอยู่ใกล้วัตถุ เช่น 5 ฟุต หรือ 3 ฟุต เป็นต้นในการถ่ายภาพบางประเภทจึงควรเลือกใช้เลนส์ การปรับขนาดช่องรับแสง หรือระยะในการถ่ายภาพ ทั้งนี้เพื่อให้ภาพที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เช่น ถ้าต้องการภาพถ่ายที่ให้เห็นเด่นชัดเฉพาะบางส่วนที่ต้องการเน้น และให้ระยะหลังพร่ามัวก็ควรเลือกใช้เลนส์ระยะความยาวโฟกัสมาก หรือเปิดช่องรับแสงให้กว้างมากๆ เช่น f2 หรือ f2.8 แล้วโฟกัสภาพไปที่สิ่งที่ต้องการเน้น หรือถ้าต้องการถ่ายภาพทิวทัศน์เพื่อให้เป็นลักษณะภูมิประเทศชัดเจนก็ควรเปิดช่องรับแสงให้แคบเช่น f16 หรือ f 11 แล้วโฟกัสภาพที่อินฟินิตี้ เป็นต้น

แด่เจ้าแมวทั้งสอง

มีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องนี้มันเกิดมาหลายวันแล้ว.. น่าจะสักสองอาทิตยืที่ผ่านมาได้
วันนั้นพอผมกลับถึงบ้าน ก็ได้รับข่าวร้าย ว่าแมวที่เลี้ยงไว้ตายไปตัวนึง
แม่เล่าให้ฟังว่า ได้ยินเสียงตึงๆ หลังบ้าน นึกว่าฟ้าร้อง เลยเดินออกไปดู
ก็เห็นเจ้าแมวกำลังดิ้นอยู่กับพื้น แม่ก็รอเพราะผมโทรมาว่ากำลัจะเข้าบ้านแล้ว
ผมจะได้พาไปหาหมอ
แต่ไม่ทันครับ ... มันสิ้นใจไปก่อนที่ผมจะถึงบ้าน
แม่บอกว่า มันโดนวางยา ไม่รู้ว่าบ้านไหนวางยามัน
ผมก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะดูจากอาการตายแล้วไม่มีน้ำลายฟูมปาก
เพราะเห็นคนที่กินยาตาย น้ำลายจะฟูมปาก
แต่อึราดออกมา
แล้วหลายวันที่ผ่านมัน เจ้าแมวตัวนี้ก็มีอาการแปลก คือมันจะไอแรงมาก
ก็นึกว่าอะไรติดคอ จนปิดหลอดลมตาย น่าจะอย่างนั้น ... ไม่ติดใจอะไร..
ตกลงเย็นนั้นเลยฝังเจ้าแมวไว้ที่หน้าบ้าน ...

จากนั้นถัดปอีกสองวันน่าจะได้ จำได้ว่าเป็นเช้าวันเสาร์นะ
ลงมาจากห้องนอน แม่บอกว่าแมวอีกตัวตายแล้ว ที่ถนนหน้าบ้าน
อาการเดียวกัน ลักษณะการตายเหมือนกัน ร่างกายไม่มีรอยช้ำ
ไม่ได้ถูกรถชน ไม่มีเลือดออก .. แม่บอกว่าต้องมีบ้านไหนวางยาแล้วล่ะ
ผมเลยเริ่มจะลังเล สงสัยว่าจะจริง ... แต่ยังพยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้อยู่

แมวที่บ้านไม่ใช่แมงที่หามาเลี้ยง เป็นแมวที่คนอื่นเอามาปล่อย แม่สงสารเลย
ให้ข้าวมันกิน จนมันอยู่ประจำที่บ้านเลย ตัวแรกขาหลังขวาพิการแต่กำเนิด
เอาลงพื้นไม่ได้ เหมือนจะเจ็บ มันไม่ยอมให้ใครอุ้ม แม้แต่จะจับตัวก็ไม่ยอม
ถ้าเราเข้าใกล้ มันจะขู่เหมือนเสือที่ขู่ศัตรู ... ไม่ค่อยถูกกับผมเท่าไหร่
แต่ก็คลุกข้าวให้กินบ่อยๆ

ส่วนอีกตัว ก็หลงมาเหมือนกัน .. ตัวนี้สักษณะเป็นแมวที่ดี หุ่นดี หางตรง
ถ้าไม่ติดนิสัยจากเจ้าแมวตัวแรก มันคงเป็ฯแมวที่น่ารักแน่ๆ ...

ถ้ามองในแง่ร้าย อย่างที่แม่ผมว่า .. ก็น่าสงสารพวกนั้นนะ ..
ชีวิตเกิดมาไม่เคยได้รับความอบอุ่นเลย ไม่ว่าจากแม่มัน พี่น้องมัน
เจ้าของเก่ามัน ..
แล้วก็ไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรให้มครเค้าเดือนร้อน ถึงขนาดต้องกำจัดกันแบบนี้

คิดแล้วก็น่ากลัว นี่เหรอคับ สังคมรอบข้างบริเวณบ้านผม ...
ทำไมมันโหดร้ายกันจัง ..

นี่หล่ะครับ ผมถึงเบื่อกรุงเทพ .. เบื่อสังคมแบบนี้
เลยไปมันซะทั่วเลยตอนนี้ ..

แค่นี้หล่ะคับ .. ขอบคุณที่อ่าน

4/6/51

คนที่ใช่กว่า...

อ่านเเล้วคิด เเล้วท่านจะได้อะไรดี ๆ อีกเยอะเลย

คนที่ใช่กว่า...
เรามีเรื่องของคู่รัก
2 คู่มาเล่าให้ฟัง
ทั้ง
2 คู่ต่างก็เป็นคู่รักที่รักกันมาก
ดูแลเอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจกันมานาน
7- 8 ปี
เป็นคู่รักที่คนรู้จักต่างก็แน่ใจว่า
อีกไม่นานก็คงได้ยินข่าวดีจากคู่รัก
2 คู่นี้แน่ๆ
แต่แล้ววันนึงก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับคู่รักท ั้ง
2 คู่

….. เมื่อฝ่ายชายก็ได้พบใครใหม่ที่คิดว่า 'ใช่' มากกว่า
ผู้หญิงคนใหม่ที่สวยกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า
ฝ่ายชายตัดสินใจคบดูใจด้วย โดยที่ยังไม่เลิกกับคู่รักเดิม
….
ยิ่งคบเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่
ผู้หญิงคนใหม่ที่คบกันมา
2 - 3 เดือน กับคนรักคนเดิมใน 7- 8 ปีที่ผ่านมา
เริ่มถ่วงดุลน้ำหนักที่เท่ากันบนตาชั่งการตัดสินใจของเขา
ทายสิว่า ชายหนุ่มทั้งคู่เลือกใคร

เขาทั้งคู่เลือกผู้หญิงคนใหม่ ….

สิ่งที่ผู้ชายทั้งคู่ต่างหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ คนรักคนเดิมที่เคยคบด้วย
มีอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจ อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวบางประการ
แต่ในขณะที่คบกันมานั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอรับได้เมื่อเทียบกับความดีอื่นๆ ที่เธอทำให้เขา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอย่างหมดใจที่เธอมีให้เขา

แต่วันนึงที่พบผู้หญิงคนใหม่ อะไรที่เคยทนได้ก็กลับทนไม่ได้ขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้มีข้อเสียในจุดนั้น เหมือนคนรักเก่า

แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ ผู้ชายคนที่ 1
ถูกคนรักของเขาจับได้เองว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่
และเมื่อขาบอกว่าเขาเลือกผู้หญิงคนใหม่ เขาให้เหตุผลว่า

'
เขาดีกว่าคุณทุกอย่าง เขาคอยดูแลผม
เขาเข้าใจผม(และที่สำคัญเขาสวยกว่า และใหม่กว่าคุณด้วย) '

ส่วนผู้ชายคนที่ 2 … เลือกสารภาพกับคนรักว่า
'
ผมเป็นคนผิดเองที่นอกใจคุณ แต่คนที่ผมเลือกก็เป็นเขา
ขอโทษนะ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ'

ถามคุณว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างการปฏิบัติของผู้ชาย 2 คนนี้
….
แบบไหนที่ดูเป็น ' ลูกผู้ชาย' มากกว่ากัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้ามีทางเลือก
ผู้หญิงเราคงไม่เลือกสักทาง จริงไหม
เพราะถ้ าเราเลือกได้จริงๆ เราก็ขอเลือกให้เขามีเราคนเดียวมากกว่า
เราเชื่อว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่(อาจจะไม่ทุกคน
แต่ก็เชื่อว่าเป็นจ ำนวนมาก)
ต้องการมากที่สุดในการตัดสินใจที่จะรักและใช้ชีวิตอย ู่ร่วมกับใครสักคนแล้ว
ก็คือความ'จงรัก' และ'ภักดี'

คุณทมยันตี เคยกล่าวถึงคำทั้ง 2 คำไว้ และเราสรุปเป็นใจความได้ว่า
'
จงรัก' อาจจะมากมายในวัยหนุ่มสาว
อาจจะร้อนแรง อาจท่วมท้นในยามแรกรัก!
แต่วันนึงอาจจะจืดจางได้ตามกาลเวลา
แต่คนรักคู่ใดๆในโลกก็มักเริ่มชีวิตคู่ด้วยคำๆ นี้

แต่ 'ภักดี' นั้นชั่วชีวิต
ความจงรักหรือความรักนั้น เราเชื่อว่ามันไม่เข้มข้น ร้อนแรงตลอดไปก็จริง
แต่มันคงเหลืออวลไอเป็นใยบางๆ ไว้ตราตรึงใจบ้างกระมังในยามที่เราหวนนึกถึงมัน
แต่การที่คนสองคนอยู่กันมานานแสนนานขนาดนี้ ย่อมต้องมีความผูกพัน
ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกันบ้างไม่มากก็ น้อย

สิ่งที่เราเห็นจากคู่รักทั้ง 2 คู่ก็คือ
ฝ่ายชายหมดความ 'จงรัก' ลงไป
แต่ความรู้สึกอื่นๆ ล่ะ ความผูกพันของคนสองคน ความเห็นอกเห็นใจ
ความเข้าอกเข้าใจที่เคยมี มันไม่เหลือพอที่จะผูกใจเขาให้อยู่กับเราแล้วหรือ
คู่รักทั้ง
2 คู่ เป็นคู่ที่เรารู้จักดีทั้ง 2 คู่ ตอนที่เขารักกัน
เขาก็รักกันมาก เขาดูแลกันเป็นอย่างดี ตอนนี้เมื่อถึงจุดแตกหัก
เราพอรู้ว่าฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไร
พอเข้าใจว่าผู้หญิงที่รักและภักดีต่อฝ่ายชายแต่เพียง ผู้เดียวจะรู้สึกอย่างไร
ผู้หญิง
1 ใน 2 คนนี้บอกกับฝ่ายชายตอนที่เขามาขอเลิกว่า
'
ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับคุณก่อน จะอยู่ดูแลคุณอีกสักพักเพราะตอนนี้
คนรอบข้างคุณและ เพื่อนๆ ของเราไม่ค่อยมีใครอยู่ข้างคุณแล้ว
พอเพื่อนๆ ของเรายอมรับผู้หญิงคนใหม่ของคุณได้แล้วฉันก็จะไป'

แต่ฝ่ายชาย เราไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะคิดอย่างไร
อาจจะกำลังมีความสุขกับผู้หญิงคนใหม่ ความรักอาจกำลังท่วมท้น
อาจกำลังวางแผนสร้างอนาคตที่สดใสกันอยู่
เขาอาจจะมีความรักที่รุ่งโรจน์กว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้
เราก็หวังไว้แต่ว่าวันนึง เขาคงจะไม่เจอคนที่ 'ใช่มากกว่า' อีก
เพราะนั่นหมายถึง ผู้หญิงที่ต้องเสียใจจะเพิ่มขึ้นอีก
2 คน
ถ้าเราคิดจะมองหาคนที่ถูกใจ คนที่ 'ใช่' คุณเชื่อไหมว่า
เราหาได้เกือบชั่วชีวิต

แต่คนที่จะตรงใจคุณจริงๆ 100% นั้น ไม่มีหรอก
นอกจากคุณจะหยุดความต้องการที่ไม่มีข้อสิ้นสุดของตัวคุณเองลง
เราเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการบอกว่าใครผิดใครถูก
แต่ต้องการให้คุณหยุดคิดสักนิดว่า อะไรในชีวิตที่คุณต้องการ
อะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่ากัน
มนุษย์เรา หากจะรักและคิดจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
ก็คงจะต้องกา รเพียงแต่
' เพื่อนคู่ชีวิต' สักคน
คนที่อยู่กับเราเสมอไม่ว่ายามทุกข์ยาก ลำบาก
หรือผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
คนที่มองเห็นข้อเสียและข้อผิดพลาดของคุณ แต่ก็ยังรักและยังอภัยให้คุณได้เสมอ

คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณแม้คุณจะกลายเป็นตาแก่หัวล้าน พุงยาน หนังเหี่ยว
เขาก็พร้อมที่จะแก่เฒ่าไปพร้อมกับคุณ
แต่คนที่ว่ามานี้
คุณมักลืมเขาในยามที่คุณยัง มีความสุขอยู่

ในยามที่ชีวิตของคุณยังเป็น 'ผู้เลือก' ที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ถูกเลือกได้อยู่
ในยามที่คุณยังมีหน้าตา
มีเครื่องประกอบชีวิตที่เป็นที่สนใจจากคนเหล่านั้นอยู่
คุณอาจจะต้องนึกถึงเขาอีกที ในยามที่คุณไม่มีใครแล้ว

ในยามที่คนที่คุณคิดว่า 'ใช่'
เขาก็ไปกับคนใหม่ที่เขาก็คิดว่า 'ใช่'
มากกว่าคุณเหมือนกัน

ปล. เราหวังว่าจดหมายฉบับนี้ จะได้รับการส่งต่อให้คนทุกคนได้อ่านโดยทั่วกัน
เพราะเราตั้งใจเขียนจริงๆ และเรื่องที่เขียนทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง
และจะเป็นความกรุณามาก ถ้าทุกท่านจะช่วยส่งต่อๆ กันไปให้คนที่ท่านอยู่จัก
อย่างน้อยสัก
5 คน เราขออวยพรให้ความรักของทุกท่านจงประสบแต่ความสุขสมห วัง
ขอขอบคุณจากใจจริง

__________________

^_^. ...
จงยิ้มไว้...แม้จะมีน้ำตา

...
เมื่อผิดพลาดล้มเหลว
อย่ามัวแต่หาข้อแก้ตัว
ขอให้หาข้อบกพร่องจะดีกว่า(แล้วแก้ไขซะนะคะ)*
_*

1/6/51

The Leap Years



วันนี้ได้พบเห็นความรักมาครับ .....!??!!

มีผู้หญิงคนนึง เธอได้ถูกหมอดูทำนายถึงชายที่จะมาเป็นคนรักของเธอ
หมอดูทายว่า ชายคนนี้จะมากับสายลม ความรักของเธอจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
แล้วจะจากไป เธอจะต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ถึงจะได้สมหวังกับความรักนี้

ตั้งแต่วันนั้นมาเธอก็ตั้งตารอชายหนุ่มคนนั้น ที่จะมาเป็นคนรักของเธอ
นานวันผ่านไปเป็นปี สองปี สามปี สิบปี ที่เธอตั้งตาคอย จนแล้วกระทั่ง...

วันนั้นมาถึง ณ. ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เธอก็ได้พบกับเค้าที่มากับสายลม....

ชายคนนั้นแปลกปประหลาดใจกับความตั้งใจที่จะรอเค้า ที่เป็นใครก็ไม่รู้
แล้วไม่รู้ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง แต่เธอก็ยอมที่จะเสี่ยงรอ...


ไปสยาม มา ตั้งใจจะไปดูหนังเรื่อง
The Leap Years โดยเฉพาะ
ตอนแรกคิดว่าเป็นหนังไทย แต่ที่ไหนได้ ดันเป็นหนังสิงค์โป นางเอกดูเหมือนจะสวยนะ
กึ่งๆ ยังงัยไม่รู้ อนันดาเรายังน่านักเหมือนเดิม ( เอ... ไงวะเนี่ยเรา)


หนังดีครับ ... เพิ่มความมั่นใจในความรักมากขึ้น สำหรับคนที่เริ่มลังเลที่จะรอความรัก
ลังเลที่จะรอคนรัก ... ความรักบางครั้งเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยงครับ แต่สำหรับผมแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้มีแต่คำว่าคุ้มค่า ไม่ว่าเราจจะสมหวัง หริอผิดหวังก็ตาม

เหมือนกับ ลีแอน ที่เธอยอมเสี่ยงกับความรัก ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บปวดกับการรอมานับไม่ถ้วย
แต่ผลที่ได้ก็มีแต่ความสุข...

ปาฏิหาร จะเกิดกับคนที่ซื่อสัตย์กับความรักเท่านั้นน่ะครับ ... ผมว่านะ

ลองไปดูกันครับ หนังดีอีกเรื่อง ดูแล้วผมว่าถ้าคุณมีแฟนอยู่ คุณจะรักแฟนคุณมากขึ้นอีกเป็นกองเลย