26/8/53

สิทธัตถะพุทธะ ทรงแสดงธรรมต่อหน้าชฎิลทั้งสามและบริวาร

"ยามใดเมื่อความคิดของบุคคลฟุ้งซ่าน ไม่มีระเบียบ ยามนั้นอวิชชาคือความเขลา ย่อมเข้ามาปกคลุมซึ่งความคิดของบุคคลนั้น เหมือนหนึ่งกลุ่มหมอกคลุมอยู่ในนภากาศ ปิดธรรมอันควรเห็นไม่ให้เห็นฉะนั้น และเหมือนกับหมู่ไม้ในป่าใหญ่ อันโชกชุ่มด้วยน้ำมัน เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ป่าขึ้นได้เช่นเดียวกัน"

"ไฟกองใหญ่ที่เกิดในบุคคลมีอยู่ 3 กอง คืดไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ผู้มีราคะก็เหมือนมีไฟสุมอยู่เช่นเดียวกับผู้มีโทสะ และโมหะเป็นเครื่องเผาอยู่ ไฟดวงใหญ่ 3 กองนี้ เผาผลาญสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นนิจ ความเศร้าโศกเสียใจ ความทุกข์ร้อนรำคาญใจอันเกิดแก่คนทั้งหลายนั้น เพราะไฟ 3 กองเหล่านี้ ไฟเหล่านี้กำลังเผาผลาญสัตว์ในโลกอยู่"

"บุคคลใดมองเห็นกองไฟเหล่านี้ พยายามดับกองไฟเหล่านี้เสีย ระงับเสียซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ใจจักสงบ ดวงตาที่มืดอยู่จักมองเห็น เกิดความรู้และความบริสุทธิ์"

"เมื่อใจบริสุทธิ์ เพราะมองเห็นกองไฟเหล่านี้แล้ว ความเกลียดชังในบาปจะเกิดขึ้น กองไฟคือราคะ กองไฟคือโทสะ และกองไฟคือโมหะ มอดหมดไปแล้ว ก็จะละเสียได้ซึ่งสิ่งผูกพันทั้งปวง"


1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1/9/53

    ความผูกพันนั่นก็คือห่วงแห่งทุกข์ กองไฟที่เกิดทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่ดับยากทั้งสิ้น
    แค่เราเกิดมาลิมตาดูโลก ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ แค่นี้ก็เท่ากับเราเกิดมาเพื่อเข้าสู่ห้วงแห่งทุกข์แล้ว
    จะต้องเวียนว่ายอีกกี่ภพชาติ เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์
    แม้ความทุกข์จะทำให้เราต้องเจ็บปวดมากมาย แต่ก็ต้องขอบคุณความทุกข์นั้นที่ไม่ทำให้เราติดสุขมากเกินไป
    ความทุกข์ที่เกิดถือเป็นตัวเร่งให้เรามีความเพียรที่จะละเสียซึ่งทุกข์ ละเสียซึ่งราคะ โทสะ โมหะ และละเสียได้ซึ่งสิ่งที่ผูกพันทั้งปวง ....
    ธรรมของพระพุทธองค์ประเสริฐจริงๆนะคะ ...

    ตอบลบ