30/5/51

เช้าวันจันทร์ (บทสรุปการเดินทาง)

เช้าวันจันทร์ ที่ 26 พค. 2551

เวลา 05:00 น. มาถึงวัดป่ามณีกาญจน์แล้วครับ ติดรถพี่โอมกลับมา เพราะคนอื่นขับกลับไม่ไหว ต้องขอนอนที่วัดเวฬุวันกัน

เวลา 05:30 น. ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพครับ

ภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี การเดินทางครั้งนี้สองอย่างที่สำเร็จคือการได้นำของไปส่งที่วัดวาชุคุ และการได้มีโอกาสได้ไปกราบอัฐิพระอาจารย์เสถึยร

แต่สิ่งที่ผมได้มามากกว่านั้น คือการได้ไปพบเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เราไม่เคยได้พบเห็น

อย่างแรกคือได้พบเห็นชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ที่อยู่ไกลจากความเจริญอย่างแท้จริง การเดินทางที่จะเข้าไปหาพวกเค้านั้น ต้องรอนแรมเข้าไปกัน เป็นคืน ผ่านความลำบากอย่างสาหัส ชีวิตที่นั่นจึงอยู่อย่างสงบ เรียบง่าย ผมได้พบเห็นภาพประทับใจอยู่ คือในขณะก่อนจะกลับ ผมได้ขึ้นไปกราบพระบนศาลาที่เราพัก ที่หน้าบันได มีเด็กๆกะเหรี่ยงนั่งเล่นกันอยู่ หลังจากผมก้มกราบพระเพื่อขอพรท่านเสร็จแล้ว หันหลังกลับเพื่อจะลงศาลา ก็ได้เห็นเด็กกะเหรี่ยงคนนึง กำลังก้มกราบพระตามผม เป็นภาพการกราบพระที่สวยงามติดตา คนในเมืองกรุงที่แสนเจริญที่ผมรู้จักหลายคนผมบอกได้เลย
ว่ายังกราบพระได้ไม่สวยงามเท่ากับเด็กคนนั้นที่อายุไม่ถึงสิบขวบ

อย่างที่สองคือการได้เห็นความร่วมมือร่วมใจกัน ของพี่ๆที่ไปกัน
บางคนอาจคิดว่าพวกเราเป็นพวกคนรวย ที่ว่างๆ ก็พากันขับรถเข้าป่า
ทำเป็นชื่นชมธรรมชาติ ในขณะที่น้ำมันแพงระยำอย่างนี้
แต่ว่าคนที่ไปกัน เรามีแต่พวกหาเช้ากินค่ำกันทั้งนั้น
บางคนก็ทำงานรับจ้าง บางคนก็รับเหมาก่อสร้าง
แต่ทุกคนที่ไป เราไปเพราะหลวงปู่ ไปเพราะใจที่อยากช่วยเหลือ
พระพุทธศาสนา จุดหมายเราจึงมุ่งอยู่แต่ที่วัด
การเดินทางมีอุปสรรค์มากมาย รถเราติดหล่มกันทุกคัน และตลอดเส้นทาง
แต่ทุกคนช่วยเหลือกัน ไม่มีใครออกปากว่าอะไร แม้บางคนไม่ทำตามคำสั่ง
ของคนที่แนะนำ เราได้เห็นอีกคณะนึงที่เราได้ไปเจอกันในป่า
เป็นพวกที่ว่างแล้วชอบเที่ยวป่า เค้าพบอุปสรรค์เหมือนเรา
แต่ขาดการประสานงาน ขาดการช่วยเหลือกันและกัน
ตอนกลับ เขานำหน้าพวกเรา คณะเขาติดหล่มอยู่ ใช้เวลาแก้ปัญหา
อยู่เกือบ 2 ชั่งโมง ทำให้พวกเราถึงที่หมายช้าไปด้วย ...
แต่พวกเราก็ไม่มีใครหงุดหงิดกันเขา
ผมได้ยินพี่โอมพูดผ่าน ว. มาว่า "ไม่เป็นไร ปัญหาที่เกิด ไม่มีใครอยากให้เกิด ..."
คำพูดเท่านี้ สำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเรามาติดอยู่ในป่าลึก ลำพัง
เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่มาซ้ำเติมกัน

อย่างที่สาม ... ต่อเนื่องจากข้อสอง .. เราอยู่ในป่า เราไม่รู้เรื่องราวโลกภาพนอก
เราไม่รู้ว่า ขณะนี้ในกทม. มีการจราจลกัน คนที่มีความคิดแตกแยกกัน 2 ฝ่าย
เผชิญหน้าเข้าหากัน .. ความวุ่นวาย สับสนในเมืองที่แสนงี่เง่า เราไม่ได้รับรู้เลย
เป็นเรื่องดีสำหรับผม นะ เลยมาคิดว่า คนกะเหรี่ยงเค้าก็ดีนะ
วันๆ ไม่ต้องมารับรู้ข่าวคราวไร้สาระ แบบนี้ ...

สรุปแล้ว การไปครั้งนี้ ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม
หน้าหนึ่ง ที่ผมจะจดจำไปอีกนาน
ขอขอบคุณ พี่ๆ ทุกๆ คน ที่ให้โอกาสผมได้ไปพบ ไปเห็น ไปลำบาก กับภาระกิจนี้ครับ
ขอบคุณครับ...

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30/5/51

    แวะมาอ่านแล้วค่ะ

    เห็นด้วยเรื่อง ข่าวคราวไร้สาระ บางที การรับข้อมูลมากเกินไป มันก็"เกิน" จริง ๆ ค่ะ ... อืมม์ นานมากแล้วที่เราไม่ได้เดินทางไปในที่แบบที่คุณไปมา ครั้งสุดท้ายนั่น ก็หลายปีแล้ว เราไปที่ "โรงเรียนธรรมชาติห้วยสัตว์ใหญ่" ที่แก่งกระจานมาค่ะ ... นั่งรถโดยสารประจำทางไป แล้วก็เดินเท้าไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ (แบบนั้นเลยค่ะ เพราะไปช่วงน้ำหลาก ต้องว่ายไปตามเชือก เกาะกันไปเป็นทอด ๆ ) แล้วก็ปีนเขาขึ้นไปอีก กว่าจะถึงโรงเรียน แต่พอได้ไปเจอเด็กแล้วประทับใจมากเลยค่ะ เพราะพวกเค้าใส ซื่อ กันจริง ๆ

    ตอบลบ