31/5/51

Cry..


...ฟ้ากำลังร้องไห้...

... สายลมที่พัดก็กำลังร้องไห้...
... ดวงจันทร์และดวงดาวต่างก็กำลังร้องไห้.....
ตอนนี้ ... ฉันก็กำลังร้องไห้ ...




เลิกทะเลาะกันซะทีเหอะ เบื่อแล้ว!!!

ทำไมประเทศไทยเราถึงต้องกลับมาวุ่นวายอีกนะ
ได้ข่าวคราวแล้วมีแต่เรื่องน่าเศร้า ปัญหาที่เกิดในประเทศเรามันไม่ได้มีอะไรเลย
มาจากคนทั้งนั้น ถือตัว ศักดิ์ศรี ไม่ยอมกัน ทำไมเราไม่คิดถึงประเทศเรากันบ้างนะ

คนไทยเราเป็นชาติรักสงบกันไม่ใช่เหรอ แต่ที่เห็นในข่าวทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้นนะ

ถ้าประเทศเราเกิดภัยพิบัติขึ้นตอนนี้ เราจะรักกันไหม?
แผ่นดินไหวสัก 9.8 ริกเตอร์ ที่กรุงเทพ
พายุเข้าที่ภาคอีสาน ความแรงระดับ 7-8 คนตายสัก 3-4 แสนคน

มันอาจจะน่ากลัวนะ แต่ประชากรไทยเรามี 60 ล้าน ตายไปแค่ 3-4 แสนคน
มันนิดเดียวเอง ใช้เวลาไม่กี่ปี เราก็สร้างคนมาได้เท่าเดิมแล้ว

ตอนนี้ ภาวะโลกเรากำลังเข้าขั้นวิกฤติ ถามว่าผมตื่นตกใจกับภาวะโลกที่เป็นอยู่หรือเปล่า?
ตอบได้ว่าไม่นะ ... มันเป็นเรื่องปกติมากกว่า ทุกอย่างมันมีสมดุลของมันเอง ในโลกใบนี้
คนเราเกิดมาพอเยอะขึ้น โลกก็พยายามลดจำนวนคนลง โดยให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2
โลกลดประชากรลงไปได้หลายล้านคน ภัพภิบัติต่างๆ ที่เกิดตามมาอีกมากมาย ที่ตายกันคราวละเป็นหมื่น เป็นแสน

แต่นั่นก็ยังไม่สามารถควบคุมจำนวนประชากรที่เพิ่มอย่างรวดเร็วได้ เรายังเร่งบริโภคทรัพยากรบนโลก
ในนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ครอบครองทรัพยากรบนโลกนี้ว่าเป็นของตัวเอง
หลายครั้งที่เราฆ่ากันตาย เพื่อแย่งทรัพยากรเหล่านี้มาเป็นของตนเอง โดยไม่รู้เลยว่า
โลกในนี้จัดสรรทรัพยากรมาให้เราใช้กันอย่างเท่าเทียมทุกคน ถ้าเรารู้จักใช้ รู้จักประหยัด
รู้จักควบคุม เราก็คงไม่ลำบากกันอย่างทุกวันนี้

ตอนนี้ราคาน้ำมันพุ่งทะยานแทบหยุดไม่อยู่ อ่านข่าวพบว่าเฉพาะประเทศไทยเรา เราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยต่อวัน
30 กว่าล้านลิตร นี่คือตัวเลขต่อวัน ถ้าเป็นต่อเดือน ต่อปี ล่ะ แล้วประเทศอื่นที่ประชากรมากกว่าเราอีกล่ะ

แต่ละวันเราสูบน้ำมันจากโลกของเรามาใช้กันมากมายจนโลกของเรากำลังผอมลงเรื่อยๆ
ดังนั้นแล้วการที่เราต้องตายกัน แสนสองแสนคน ผมเลยว่ามันยังน้อยอยู่มาก กับจำนวนประชากรโลก เป็นพันล้านคน

เลิกทะเลาะกันซะทีเหอะ เบื่อแล้ว!!!

30/5/51

เช้าวันจันทร์ (บทสรุปการเดินทาง)

เช้าวันจันทร์ ที่ 26 พค. 2551

เวลา 05:00 น. มาถึงวัดป่ามณีกาญจน์แล้วครับ ติดรถพี่โอมกลับมา เพราะคนอื่นขับกลับไม่ไหว ต้องขอนอนที่วัดเวฬุวันกัน

เวลา 05:30 น. ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพครับ

ภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี การเดินทางครั้งนี้สองอย่างที่สำเร็จคือการได้นำของไปส่งที่วัดวาชุคุ และการได้มีโอกาสได้ไปกราบอัฐิพระอาจารย์เสถึยร

แต่สิ่งที่ผมได้มามากกว่านั้น คือการได้ไปพบเห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เราไม่เคยได้พบเห็น

อย่างแรกคือได้พบเห็นชีวิตของชาวกะเหรี่ยง ที่อยู่ไกลจากความเจริญอย่างแท้จริง การเดินทางที่จะเข้าไปหาพวกเค้านั้น ต้องรอนแรมเข้าไปกัน เป็นคืน ผ่านความลำบากอย่างสาหัส ชีวิตที่นั่นจึงอยู่อย่างสงบ เรียบง่าย ผมได้พบเห็นภาพประทับใจอยู่ คือในขณะก่อนจะกลับ ผมได้ขึ้นไปกราบพระบนศาลาที่เราพัก ที่หน้าบันได มีเด็กๆกะเหรี่ยงนั่งเล่นกันอยู่ หลังจากผมก้มกราบพระเพื่อขอพรท่านเสร็จแล้ว หันหลังกลับเพื่อจะลงศาลา ก็ได้เห็นเด็กกะเหรี่ยงคนนึง กำลังก้มกราบพระตามผม เป็นภาพการกราบพระที่สวยงามติดตา คนในเมืองกรุงที่แสนเจริญที่ผมรู้จักหลายคนผมบอกได้เลย
ว่ายังกราบพระได้ไม่สวยงามเท่ากับเด็กคนนั้นที่อายุไม่ถึงสิบขวบ

อย่างที่สองคือการได้เห็นความร่วมมือร่วมใจกัน ของพี่ๆที่ไปกัน
บางคนอาจคิดว่าพวกเราเป็นพวกคนรวย ที่ว่างๆ ก็พากันขับรถเข้าป่า
ทำเป็นชื่นชมธรรมชาติ ในขณะที่น้ำมันแพงระยำอย่างนี้
แต่ว่าคนที่ไปกัน เรามีแต่พวกหาเช้ากินค่ำกันทั้งนั้น
บางคนก็ทำงานรับจ้าง บางคนก็รับเหมาก่อสร้าง
แต่ทุกคนที่ไป เราไปเพราะหลวงปู่ ไปเพราะใจที่อยากช่วยเหลือ
พระพุทธศาสนา จุดหมายเราจึงมุ่งอยู่แต่ที่วัด
การเดินทางมีอุปสรรค์มากมาย รถเราติดหล่มกันทุกคัน และตลอดเส้นทาง
แต่ทุกคนช่วยเหลือกัน ไม่มีใครออกปากว่าอะไร แม้บางคนไม่ทำตามคำสั่ง
ของคนที่แนะนำ เราได้เห็นอีกคณะนึงที่เราได้ไปเจอกันในป่า
เป็นพวกที่ว่างแล้วชอบเที่ยวป่า เค้าพบอุปสรรค์เหมือนเรา
แต่ขาดการประสานงาน ขาดการช่วยเหลือกันและกัน
ตอนกลับ เขานำหน้าพวกเรา คณะเขาติดหล่มอยู่ ใช้เวลาแก้ปัญหา
อยู่เกือบ 2 ชั่งโมง ทำให้พวกเราถึงที่หมายช้าไปด้วย ...
แต่พวกเราก็ไม่มีใครหงุดหงิดกันเขา
ผมได้ยินพี่โอมพูดผ่าน ว. มาว่า "ไม่เป็นไร ปัญหาที่เกิด ไม่มีใครอยากให้เกิด ..."
คำพูดเท่านี้ สำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเรามาติดอยู่ในป่าลึก ลำพัง
เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่มาซ้ำเติมกัน

อย่างที่สาม ... ต่อเนื่องจากข้อสอง .. เราอยู่ในป่า เราไม่รู้เรื่องราวโลกภาพนอก
เราไม่รู้ว่า ขณะนี้ในกทม. มีการจราจลกัน คนที่มีความคิดแตกแยกกัน 2 ฝ่าย
เผชิญหน้าเข้าหากัน .. ความวุ่นวาย สับสนในเมืองที่แสนงี่เง่า เราไม่ได้รับรู้เลย
เป็นเรื่องดีสำหรับผม นะ เลยมาคิดว่า คนกะเหรี่ยงเค้าก็ดีนะ
วันๆ ไม่ต้องมารับรู้ข่าวคราวไร้สาระ แบบนี้ ...

สรุปแล้ว การไปครั้งนี้ ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม
หน้าหนึ่ง ที่ผมจะจดจำไปอีกนาน
ขอขอบคุณ พี่ๆ ทุกๆ คน ที่ให้โอกาสผมได้ไปพบ ไปเห็น ไปลำบาก กับภาระกิจนี้ครับ
ขอบคุณครับ...

29/5/51

วันอาทิตย์

วันอาทิตย์ที่ 25 พค. 2551

เราตื่นขึ้นมาตอน 6 โมงเช้า แปรงฟัน ล้างหน้า ล้างตา สลัดความเมื่อยล้าให้ออกไปจากร่างกาย แล้วเริ่มรัปทานอาหารเช้ากัน ชาวบ้านที่เป็นกะเหรี่ยงมาที่วัดกันเต็มเลยครีบ เค้ามาช่วยเราหุงข้าว แล้วก็ทำอาหารเช้าให้เรากินกัน



อากาศยามเช้าของ บ้านจะแก

วัด วาชุคุ

















ด้านซ้ายเป็นทางเข้าวัด
ส่วนด้านขวาเป็นโรงครับ ที่ผนังมีแต่กองฝืน















สะพานที่เราข้ามมาเมื่อคืน
ถ้าจะเข้าหมู่บ้านนี้ต้องข้ามสะพานนี้ครับ














ศาลาที่เรานอนกันเมื่อคืนครับ
ส่วนด้านขวาพี่เค้ากำลังเคลียขี้โคลนที่ลุยมาเมื่อคืน



เด็กชาวกะเหรี่ยงกำลังมาดูเราทำกับเข้าเช้ากัน









รูปนี้ฝีมือเด็กกะเหรี่ยงถ่ายครับ สวยนะเนี่ย









เทียมเกวียน
จอดอยู่หน้าวัดครับ















พาเที่ยวชมหมู่บ้านกะเหรี่ยงครับ


ใยแมงมุงในวัด สวยดี

เราเริ่มออกจากวัดวาชุคุ ตอน 8:30 น. เพื่อจะได้ไปกราบเจดีย์พระอาจารย์เสถียรกัน ได้ไปเห็นกุฏิที่ท่านพักตอนท่านบำเพ็ญธรรมอยู่ เสร็จแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน



กราบพระที่ศาลาข้างเจดีย์กันก่อน





























เจดีย์พระอาจารย์ เสถียรครับ
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงดั้นด้นลำบาก
เข้าป่า ข้ามเขา เป็นวันๆ เพื่อไปกราบเจดีย์ท่าน
เข้าไปอ่าน ประวัติท่านพระอาจารย์ได้ที่นี่ครับหากใครสนใจ





กุฏิพระอาจารย์













สถานที่ปฏิบัติธรรม





่เราออกจากวาชุคุตอน 8:50 น. เพื่อเร่งเดินทาางกลับให้เร็วที่สุด เรทำเวลากันได้ดีครับ เพราะเช้าาแล้วเห็นเส้นทางทีาเราผ่านมาเมื่อคืนได้ดีกว่า ทุกอย่างเหมือนจะไม่มีปัญหาหรืออุปสรรค์อะไร แต่ก็มีจนได้ครับ รถนำขบวนเราเกิดปัญหา ตกหลุมแล้วเพลาไปกระแทกเข้ากับถังน้ำมัน จนถังน้ำมันรั่ว กว่าจะพยายามหาอะไรมาอุดได้เราเสียเวลาไปชั่วโมงกว่า แต่นั่นเรายังทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อคืนอยู่ครึ่งชั่วโมง นับว่ายังดีครับ หลังจากแก้ปัญหาได้ เราก็เร่งทำเวลากันต่อ แต่แล้วรถคันแรกเราก็เกิดปัญหาอีก เพลาล้อหน้าเบียว จนต้องจอดรถแก้ไขกัน ตอนนี้เกือบจะบ่ายโมงแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญไปกว่าเมฆฝนที่มืดครึ้มมาแต่ไกล ช่วงบ่ายเราไม่รู้จะเป็นอย่างไร?

13:50เราซ่อมรถเสร็จแล้ว วิ่งลุยฝนกันมาแต่ฝนตกไม่มากเท่าไหร่ นับว่าโชคดีหน่อย


ตอนนี้ 14:58 ใกล้ถึงซ่งไท้แล้ว มีรถติดหล่มอยู่ 1 คัน กำลังพยายามลากกันขึ้นมาอยู่ ฝนหยุดไปแล้วครับ


ตอนนี้ 16:20 กลางป่า รถคันหน้า ว.มาบอกว่า รถนำขบวนล้อตาย... ไปไหนไม่ได้ อีก 2 กม.เอง จะถึงด่านมหาราชแล้ว น๊อตล้อขาด ทำให้ล้อตาย คงต้องลากกัน


ตอนนี้ 16:36 ตอนนี้เรามาถึงด่านมหาราชกันแล้ว สรุปแล้วเราต้องทิ้งรถที่เสียไว้ที่ด่านมหาราช เราต้องเอารถคันนึงไปถ่ายของจากรถเสีย แล้วชากรถมาทิ้งที่ด่านมหาราช เราเริ่มออกเดินทางกันต่อ ด้วยความอ่อนเพลียกันแทบทุกคน


ตอนนี้ 17:30 ออกจากด่านมหาราช


ตอนนี้ 19:32 เรามาติดอยู่ในซอกเขา มีรถอีกกลุ่มที่ขับแซงเราไปติดหล่มอยู่ แล้วเกิดยางแตกอีก เราขับตามหลังมาเลยต้องติดตามเค้าไปด้วย

20:30 ซ่อมรถเสร็จแล้ว เราออกเดินทางกันต่อ


22:00 มาถึงที่ทำการแล้วครับ โล่งอก เหมือนตอนนี้เราได้มาถึงหน้าปากซอยเข้าบ้านแล้ว เหลือแต่เดินเข้าบ้านเท่านั้น .. แต่ว่า จากนี้ถ้าจะไปถึงวัดเวฬุวัน ต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมง ถึงวัดเวฬุวันน่าจะสัก เที่ยงคืนกว่า และจากวัดเวฬุวันกลับว่าป่ามณีกาญจน์ อีก 3 ชั่วโมง ถึงบ้านน่าจะสักตีสี่ตีห้า ของเช้าวันจันทร์




เส้นทางกลับ
เรากลับทางเดิมครับ โหดกว่าเดิม







ที่เห็นข้างหน้านั้นคือ
ถนนที่เราจะต้องผ่านนะครับ
ทะเลโคลนดีดีนี่เอง





มาก็เหนื่อยแล้ว
กลับก็เหนื่อยอีก







ถึงหน้าด่านจะแกแล้ว











เมื่อคืนมาไม่ได้ถ่ายไว้
เพราะต้องรีบเข้าวัดครับ







ออกจากด่านเราก็ลุยกันต่อ







เขาไกลๆ ฝั่งนู้น
คือประเทศพม่าแล้วครับ






เราต้องรีบครับ ไม่อยากให้มืดก่อนครึ่งทาง









ทางหลักมาไม่ได้
ต้องวิ่งทางเบี่ยงครับ






ต้องเปลี่ยนทัศนคติ
เกี่ยวกับ vigo ใหม่แล้วล่ะครับ
อึดจิงๆ







ถังน้ำมันรั่วครับ
แก้ไขก่อน








ช่างเยอะครับ
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากัน










หนทางข้างหน้ายังอีกไกล











ไม่ไหว ก็ต้องไหวน่ะครับ











อาการเพลาล้อหน้าเบี้ยวตามมาอีกครับ










เราต้องแก้ปัญหากันอีก






ยังมีบางรูปติดกล้องอยู่ ยังไม่ได้ล้าง
ยังงัยคอยเข้ามาดูเรื่อยๆ ล่ะกันนะครับ ล้างเมื่อไหร่แล้ว จะรีบมาลงให้ดูกันอีก


วันเสาร์ (เดินทาง)

เลยเวลาบ่ายมานานพอสมควรแล้วครับ ขบวนของเรายยังคงเดินทางกันต่อไปอย่างไม่หยุด
เราแข่งกับเวลา อุปสรรค์ ความลำบากของเส้นทาง ที่มีแต่โคลน หลุม บ่อ ตลอดเส้นทาง
ไม่มีเส้นทางไหนที่ขบวนรถเราจะวิ่งได้อย่างสะดวกสบายสักสิบ หรือ ยี่สิบเมตร
หมดจากโคลนึง ก็ไปสู่อีกโคลนนึง แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรค์สำหรับพวกเราครับ
เรายังคงเดินทางกันต่อไป



ล้อลอยครับ








ไปไม่ไหวครับ
ต้องให้วีโก้ลากถอยหลัง








อุปสรรค์ไม่ได้มีเพียงหลุมบ่อ
แม้แต่ต้นไม่ล้มก็มี







วิ่งผ่านลำห้วย









สภาพถนนที่ฝนตกมา
เมื่อ 3 วันที่แล้ว




























เราเดินทางเข้ามาถึงจุดที่ลำบากที่สุดของทุ่งใหญ่นเรศวรครับ
ตรงจุดนี้เป็นทางเนินขึ้นเขา ถนนที่เป็นหลุมไม่พอ ซ้ำยังมีหินเข้ามาด้วย
ทำให้รถทุกคันไม่สามารถผ่านเส้นนี้ไปได้โดยลำพัง ทุกคันต้องใช้วินส์ลาก
กันขึ้นไป พี่หนุ่ย ผู้ช่ำชองเส้นทางทุ่งใหญ่บอกว่า
จุดนี้เป็นจุดโหดสุดของเส้นทาง ถ้าผ่านจุดนี้ได้ก็ไม่น่าจะมีอะไร



พี่หนุ่ยลงไปดูลายครับ






























รูปด้านบน เป็นรถของพี่โอม ขนถังน้ำมันสองถัง
ไปไม่ไหวครับต้องใช้วินส์ลากขึ้นไป
ส่วนรูปด้านล่าง เป็นหลุมโคลนที่เราต้องผ่านกันไป
ด้านล่างขวา พี่โอมกำลังวางแผนดูลายอยู่ครับ



วีโก้ยังคงไหวอยู่ครับ










รถพี่โอมกำลังลากวินส์ขึ้นเนินครับ





























ด่านนี้แต่ละคนเหนื่อยไปพอๆกันครับ ว่าจะรอดไปกันครบ โหดจริงๆ เราเสียเวลาไปกับด่านนี้นานพอสมควร ร่วมสองชั่วโมงได้ เราได้ระยะทางมาไม่ถึงครึ่งเองครับ ยังอีกไกล กว่าจะถึง



สภาพย่ำแย่ไปตามๆ กัน








ขอเวลาเซาะร่องล้อก่อนครับ








เราต้องจอดรอให้ทุกคัน
ขึ้นมาครบก่อนครับ
ถึงจะเริ่มไปกันต่อ







บรรยากาศเริ่มครึ้มลงเรื่อยๆ
เราต้องรีบแล้วครับ










เอาใจช่วย







อืมมม ลุยกันแบบนี้





ตอนนี้เวลา 1 ทุ่มถึงห้วย เซซ่าโว่แล้ว บรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดแล้วครับ ความมืดที่เข้ามา ทำให้เราเดินทางได้ช้าลงกว่าเดิมมาก เราต้องเร่ง เพื่อให้ทันเวลากัน เราเพิ่งจะผ่านเส้นทางที่ยากที่สุดของทุ่งใหญ่กันมา รถทุกคันต้องใช้วินส์ลากรถกันทุกคัน เพราะถนนนอกจากจะลาดชันขึ้นเขาแล้ว หลุมบ่อที่เป็นโคลนที่ลึกเกินครึ่งล้อ แล้วก็ยังมีหินคอยดักอีก ไม่เท่านั้น ยังมีฝนที่ตกปรรอยๆ ลงมาเพิ่มอุปสรรค์เราให้มากขึ้นไปอีก ทุกคนต้องอดทนกันมากในการที่จะผ่านจุดนี้ไปได้ พี่หนุ่ยบอว่าตรงนี้จะยากที่สุด พ้นนี่ไปก็ไม่มีอะไร กว่าเราจะผ่านจุดนั้นมาได้ เราเสียเวลากันไปเกือบสองชั่วโมง

ตอนนี่เวลา 3 ทุ่มครึ่งแล้ว เราเข้ามาถึงบ. จะแกกันแล้วครับ เหลืออีกไม่เท่าไหร่ ก็จะถึงจุดหมายแล้ว เส้นทางจากจะแก ไปหมู่บ้าน ยิ่งใกล้จุดหมายเท่าไหร่แทนที่จะสะดวกสบาย กลับยากมากขึ้นตามลำดับ บางเส้นทางรถไม่สามารถผ่านไปได้ เราต้องใช้ทางเบี่ยงลุยกันเข้าไป ซึ่งบางทางเบี่ยงเหมือนขับรถเข้าไปในดงทุ่งไม้ดีดีนี่เอง บางเส้นดูเหมือนจะไม่ใช่ที่ที่รถจะผ่านเข้าไปได้ บางครั้งรถติดหล่ม เราต้องลงไปใช้สลิงลากกัน ทำงานกันในความมืดเลยก็ว่าได้



เริ่มไม่ไหวแล้วครับ พี่โอมเริ่มติดโซ่แล้ว










น้ำมัน 2 ถัง กับตู้เหล็กอีก 3 ตู้
ไม่น่าไหวครับ







อากาศเริ่มครึ้มๆ ลงเรื่อยๆ









หนทางข้างหน้ายังอีกไกล











ความลึกของหล่มครับ
ลงไปเกินครึ่งล้อแล้ว






ลากกันขึ้นมาาาา







กว่าจะได้ทีละ 1 กิโลเนี่ย
มันเหนื่อยจริงๆ ครับ








รอบตัวเราขณะนี้
มีแต่ป่าครับ









เรามาถึงห้วยเซซาโว่แล้วครับ
อีกนี่ก็จะเข้าจะแกแล้ว







ขอพักหายใจกันก่อนน่ะครับ
พร้อมแล้วลุยกันต่อ



ตอนนี้เวลา 4 ทุ่มกว่าแล้วครับ เรามาถึงวัดวาชุคุแล้ว ... แรกที่เราได้เห็นแสงไฟจากหมู่บ้าน ใจเราชื้นกันขึ้นมาทันที ถอนใจกันเป็นแถบ นึกในใจว่า เฮ้อออ หมดกันซะที่ ถึงทีหมายแล้วเรา ... รถเราวิ่งเข้ามาในตัวหมู่บ้านกะเหรี่ยง แล้วเลี้ยวเข้าสู่วัดวาชุคุ ที่ที่เราจะนอนกันคืนนี้ เราทำสำเร็จแล้วครับ...

หลังจากขนสัมภาระลงแล้วเราก็เริ่มทำกับข้าวกินกัน บางคนก็เตรียมที่นอน บางคนก็ไปอาบน้ำ บางคนก็ตรวจเช็ครถ สำหร้บพร้อมที่จุพาเรากลับกันในเช้าวันพรุ่งนี้ คืนนี้เราทำกับข้าวกินกัน มีหมูผัด กระเพราไก่ ปลากระป๋อง ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ให้สมกับที่เหนื่อยกันมาทั้งวัน
เราเริ่มเข้านอนกันตอนตี 1 กว่า คืนนี้ ที่วัดวาชุคุ....





ยิ่งใกล้ที่หมาย จะแก
ถนนยิ่งแย่กว่าเก่า





ในที่สุดเราก็มาถึงวัดวาชุคุแล้วคับ







บรรดาของที่เราขนมา
ส่งให้ที่วัดครับ








จัดเตรียมที่นอน
อาบน้ำอาบท่า
เตรียมกินข้าวครับ





อาหารกลางวัน
อาหารเย็น
และค่ำของเราครับ






กระเพราไก่ หมูทอด
แล้วก็ปลากระป๋องครับ
อร่อยที่สุดในโลก
(ตอนนี้นะ)




ปิดรายการด้วยการขึ้นไปกราบพระ
บนศาลาที่เรานอนน่ะครับ