16/7/51
15/7/51
เวลาเที่ยงคืน
เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
จำได้ว่าใครโทรมา เพราะตั้งเสียงเรียกเข้าไว้
แล้วยังดังมาจากมือถือเครื่องเก่า ที่แทบไม่มีใครจะโทรมา
แทบจะไม่มีคำพูดอะไร เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
คุณเองก็คงไม่มีอะไรจะพูดเท่าไหร่ ... เพียงแต่โทรมาเพราะ...
เพราะ.. คงคิดถึง หรือไม่รู้จะโทรหาใครในอารมณ์แบบนี้
ในเวลาหลายชั่วโมง ที่มีเพียงไม่กี่คำถาม .. เช่น ..
สบายดีไหม ... ทำอะไรอยู่ ... ตี๋สบายดีไหม ...
ไปวัดบ้างไหม ... ที่คุณก็ถามอยู่ทุกครั้งที่โทรมา
ระหว่างความเงียบงันที่เกิดขึ้น ..
ที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา .. ทั้งที่ในใจ อยากจะถามไถ่..
ว่า สบายดีไหม .. เป็นสุขดีอยู่หรือเปล่า?
แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการเงียบงัน ...
แต่คุณเองคงเข้าใจ ในสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อคุณ..
ผมเข้าใจ .. ว่าคุณเองก็รู้ ว่าการโทรมาหาแต่ละครั้ง
มันทำให้เราทั้งสองคนต้องเจ็บปวดมากขนาดไหน
แต่การเจ็บปวดนั้น มันคงไม่ทรมาณเท่ากับความห่วงหา
ที่มันกำลังบีบคั้นหัวใจอยู่ จนทำให้คุณต้องโทรมา ...
น้ำตาหยดลงบนหมอน ... ในขณะที่ผมต้องบอกขอวางสาย
พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้จากคุณ ที่ดังผ่านโทรศัพท์มือถือมา
ผมวางสายพร้อมกับการร้องไห้ครั้งใหญ่อีกครั้ง...
ความเสียใจที่มันได้จางหายไปจากใจ ได้พัดกลับมาอีกครั้ง
เหมือนผมได้เริ่มออกก้าวเดินจากจุดที่ล้มลง..
เดินออกห่างจุดนั้นไป... แต่สุดท้าย มันก็วกกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
มีเส้นทางไหน ที่ผมจะออกจากจุดนี้ไปได้ ..
จำได้ว่าใครโทรมา เพราะตั้งเสียงเรียกเข้าไว้
แล้วยังดังมาจากมือถือเครื่องเก่า ที่แทบไม่มีใครจะโทรมา
แทบจะไม่มีคำพูดอะไร เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
คุณเองก็คงไม่มีอะไรจะพูดเท่าไหร่ ... เพียงแต่โทรมาเพราะ...
เพราะ.. คงคิดถึง หรือไม่รู้จะโทรหาใครในอารมณ์แบบนี้
ในเวลาหลายชั่วโมง ที่มีเพียงไม่กี่คำถาม .. เช่น ..
สบายดีไหม ... ทำอะไรอยู่ ... ตี๋สบายดีไหม ...
ไปวัดบ้างไหม ... ที่คุณก็ถามอยู่ทุกครั้งที่โทรมา
ระหว่างความเงียบงันที่เกิดขึ้น ..
ที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา .. ทั้งที่ในใจ อยากจะถามไถ่..
ว่า สบายดีไหม .. เป็นสุขดีอยู่หรือเปล่า?
แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการเงียบงัน ...
แต่คุณเองคงเข้าใจ ในสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อคุณ..
ผมเข้าใจ .. ว่าคุณเองก็รู้ ว่าการโทรมาหาแต่ละครั้ง
มันทำให้เราทั้งสองคนต้องเจ็บปวดมากขนาดไหน
แต่การเจ็บปวดนั้น มันคงไม่ทรมาณเท่ากับความห่วงหา
ที่มันกำลังบีบคั้นหัวใจอยู่ จนทำให้คุณต้องโทรมา ...
น้ำตาหยดลงบนหมอน ... ในขณะที่ผมต้องบอกขอวางสาย
พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้จากคุณ ที่ดังผ่านโทรศัพท์มือถือมา
ผมวางสายพร้อมกับการร้องไห้ครั้งใหญ่อีกครั้ง...
ความเสียใจที่มันได้จางหายไปจากใจ ได้พัดกลับมาอีกครั้ง
เหมือนผมได้เริ่มออกก้าวเดินจากจุดที่ล้มลง..
เดินออกห่างจุดนั้นไป... แต่สุดท้าย มันก็วกกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
มีเส้นทางไหน ที่ผมจะออกจากจุดนี้ไปได้ ..
4/7/51
นรก-สวรรค์
มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง ...
เมื่อกี้เข้าประชุมมา หัวหน้าฝ่ายเล่าเรื่องนึงให้ฟัง.. ว่า
มีคนชวนฝ่ายไปเที่ยวนรก - สวรรค์ ... พี่เค้าก็ไป
ตอนแรกเข้าไปในนรกก่อน ... เข้าไปในห้องนึง ..
ที่มีโต๊ะกินอาหารขนาดใหญ่ มีคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ ..
ตอนนั้นคงทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ..
แต่คนที่นั่งกันอยู่รอบโต๊ะกลับมีสภาพผอมโซ ...
เหมือนคนไม่ได้กินอะไรมานาน
ที่โต๊ะอาหาร ปรากฎว่ามีช้อนวางอยู่
แต่เป็นช้อนที่มีความยาวประมาณ 3 เมตร ก็เกิดความสงสัย...
จากนั้นเข้าไปดูห้องสวรรค์ ในห้องมีโต๊ะอาหารอยู่เหมือนนรก ..
มีคนนั่นอยู่รอบโต๊ะ แต่สภาพดูอิ่ม สมบูรณ์ .. และที่โต๊ะก็มีช้อนอยู่
ซึ่งยาว 3 เมตรเท่ากัน .. ก็เกิดความสงสัย .. ว่า
ทั้งสองห้องมีความเหมือนกันหมด แต่ทำไมคนที่อยู่ในห้องจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง
จนวันต่อมาได้เข้าไปสองห้องนั้นอีก แต่คราวนี้ไปถึงตอนทานอาหารกันพอดี
คนในห้องนรกไม่สามารถกินอาหารได้ เพราะช้อนที่ยาวเกินกว่าจะตักอาหารเข้าปาก
แต่ในห้องสวรรค์ แต่ละคนกำลังตักอาหารยื่นให้คนอีกฝั่งหนึ่งกิน...
พี่สรุปว่า .. คนเราถ้าเราทำอะไรแล้วคิดถึงแต่ตัวเอง ... เราจะอด เราจะลำบาก ...
แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เราทำโดยคิดถึงคนอื่น สิ่งที่เราทำ มันก็จะส่งผลกลับมาให้เรา
เราจะอิ่ม จะสบาย ...
เข้าใจกันไหมอ้ะ .. พยายามเล่า .. เห็นว่ามันดีอ้ะน่ะ ...
เมื่อกี้เข้าประชุมมา หัวหน้าฝ่ายเล่าเรื่องนึงให้ฟัง.. ว่า
มีคนชวนฝ่ายไปเที่ยวนรก - สวรรค์ ... พี่เค้าก็ไป
ตอนแรกเข้าไปในนรกก่อน ... เข้าไปในห้องนึง ..
ที่มีโต๊ะกินอาหารขนาดใหญ่ มีคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ ..
ตอนนั้นคงทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ..
แต่คนที่นั่งกันอยู่รอบโต๊ะกลับมีสภาพผอมโซ ...
เหมือนคนไม่ได้กินอะไรมานาน
ที่โต๊ะอาหาร ปรากฎว่ามีช้อนวางอยู่
แต่เป็นช้อนที่มีความยาวประมาณ 3 เมตร ก็เกิดความสงสัย...
จากนั้นเข้าไปดูห้องสวรรค์ ในห้องมีโต๊ะอาหารอยู่เหมือนนรก ..
มีคนนั่นอยู่รอบโต๊ะ แต่สภาพดูอิ่ม สมบูรณ์ .. และที่โต๊ะก็มีช้อนอยู่
ซึ่งยาว 3 เมตรเท่ากัน .. ก็เกิดความสงสัย .. ว่า
ทั้งสองห้องมีความเหมือนกันหมด แต่ทำไมคนที่อยู่ในห้องจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง
จนวันต่อมาได้เข้าไปสองห้องนั้นอีก แต่คราวนี้ไปถึงตอนทานอาหารกันพอดี
คนในห้องนรกไม่สามารถกินอาหารได้ เพราะช้อนที่ยาวเกินกว่าจะตักอาหารเข้าปาก
แต่ในห้องสวรรค์ แต่ละคนกำลังตักอาหารยื่นให้คนอีกฝั่งหนึ่งกิน...
พี่สรุปว่า .. คนเราถ้าเราทำอะไรแล้วคิดถึงแต่ตัวเอง ... เราจะอด เราจะลำบาก ...
แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เราทำโดยคิดถึงคนอื่น สิ่งที่เราทำ มันก็จะส่งผลกลับมาให้เรา
เราจะอิ่ม จะสบาย ...
เข้าใจกันไหมอ้ะ .. พยายามเล่า .. เห็นว่ามันดีอ้ะน่ะ ...
2/7/51
ซื้อหนังสือมาอีกแล้ว
เมื่อวาน ตอนพักเที่ยง แวบไปกินข้าวที่โลตัสมา
ไม่วาย สุดท้ายก็ไปเดินดูหนังสืออีกจนได้ ...
กลั้นใจไว้ว่าจะไม่ซื้อหนังสือสักสามสี่เดือน ...
เพราะซื้อทีไร หมดตูดทุกที ...
คราวนี้ไปได้มา 3 เล่มน่ะครับ เริ่มจาก

กฎแห่งกระจก หยิบขึ้นมาอ่านแรกๆ แล้วมีการเล่าที่แปลกดีครับ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตัวเรา
ที่บางครั้งเรามองข้ามปัญหาเหล่านั้น ไปโทษว่าปัญหาทั้งหลาย มีสาเหตุจากคนอื่น แท้ที่จริงแล้ว
มันเกิดจากตัวเราเอง .. มีการยกตัวอย่างที่ดีครับ เป็นเรื่องของแม่ที่เป็นห่วงลูกชายที่โดนเพื่อนรังแก
คิดว่า ลูกกำลังมีปัญหากับเพื่อนๆ และพยายามจะช่วยลูก มองดูปัญหามันก็น่าจะเกิดกับลูกนะ
แต่เค้าทำให้เราเห็นได้ว่า ปัญหาเกิดจากตัวแม่ได้ไงไม่รู้ .. ดีเหมือนกัน แปลกดี
เล่นเล็กๆ บางๆ อ่านวันเดียวก็จบ ได้แนวความคิดมากขึ้น .. น่าสนครับ
มากันเล่มที่สองครับ วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน เป็นแนว how to มั้ง ..
เค้าเอาเอาคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างๆ ที่สำคัญ เช่น บิลเกต .. สตีฟ จ๊อบ
มาเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตจริง ที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียน...
เล่มสุดท้าย เคยดูคนค้นคนไหมครับ เคยทำสคูปเกียวกับชายคนนึง ที่ออกเดินทางไปตามแม่น้ำ
แล้วจะแวะตามที่ต่างๆ เอาวัสดุที่เห็น ที่มีมาจัดวางเห็นรูปเป็นร่างให้สวยงาม
แล้วก็ถ่ายรูปไว้ เค้ามีแนวความคิดที่จะทำงานศิลปะแนว นิเวศศิลป์ คือเอาธรรมชาติมาจัดวาง
ให้สวยงาม และมีความหมาย .. เค้าพยายามจะสื่อถึงความเป็นอยู่ของธรรมชาติที่จะกำลังถูกทำลาย
ด้วยระบบทุนนิยม
ส่วนในเล่มนี้ เป็นการเดินทางจากลุ่มน้ำสามเหลี่ยมทองคำ ผ่านไปตามร่องแม่น้ำโขง ไม่แนใจว่าสิ้นสุดที่ไหน
ตลอดเส้นทางก็จะสร้างงานศิลปะ แล้วบันทึกเป็นภาพเก็บไว้พร้อมกับบรรยายถึงสิ่งที่ต้องการสื่อออกมา ในการเดินทางครั้งนี้ จุดหมายเค้าอีกอย่างคือนำเรื่องราวทั้งหมดมาทำวิทยานิพนธ์ ป.โท ในสาขาศิลปะสมัยใหม่
น่าจะเรียกว่า Modern Art ได้นะ ..
ซื้อเสร็จก็ได้คูปองจากที่ร้านซีเอ็ดมา ว่าซื้อครบสามร้อยได้สแตมป์ 1 ดวง สะสมครบ 10 ด้วย
ก็จะได้พรีเมียมเซ็ท เป็ฯหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ แผ่น DVD ที่คั่นหนังสือแม่เหล็กอีก แต่กว่าจะครบได้
คงหมดเงินไปหลาย ... เอาล่ะมาดูกัน จะทำได้หรือเปล่า....
ไม่วาย สุดท้ายก็ไปเดินดูหนังสืออีกจนได้ ...
กลั้นใจไว้ว่าจะไม่ซื้อหนังสือสักสามสี่เดือน ...
เพราะซื้อทีไร หมดตูดทุกที ...
คราวนี้ไปได้มา 3 เล่มน่ะครับ เริ่มจาก

กฎแห่งกระจก หยิบขึ้นมาอ่านแรกๆ แล้วมีการเล่าที่แปลกดีครับ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตัวเรา
ที่บางครั้งเรามองข้ามปัญหาเหล่านั้น ไปโทษว่าปัญหาทั้งหลาย มีสาเหตุจากคนอื่น แท้ที่จริงแล้ว
มันเกิดจากตัวเราเอง .. มีการยกตัวอย่างที่ดีครับ เป็นเรื่องของแม่ที่เป็นห่วงลูกชายที่โดนเพื่อนรังแก
คิดว่า ลูกกำลังมีปัญหากับเพื่อนๆ และพยายามจะช่วยลูก มองดูปัญหามันก็น่าจะเกิดกับลูกนะ
แต่เค้าทำให้เราเห็นได้ว่า ปัญหาเกิดจากตัวแม่ได้ไงไม่รู้ .. ดีเหมือนกัน แปลกดี
เล่นเล็กๆ บางๆ อ่านวันเดียวก็จบ ได้แนวความคิดมากขึ้น .. น่าสนครับ

เค้าเอาเอาคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างๆ ที่สำคัญ เช่น บิลเกต .. สตีฟ จ๊อบ
มาเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตจริง ที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียน...

แล้วจะแวะตามที่ต่างๆ เอาวัสดุที่เห็น ที่มีมาจัดวางเห็นรูปเป็นร่างให้สวยงาม
แล้วก็ถ่ายรูปไว้ เค้ามีแนวความคิดที่จะทำงานศิลปะแนว นิเวศศิลป์ คือเอาธรรมชาติมาจัดวาง
ให้สวยงาม และมีความหมาย .. เค้าพยายามจะสื่อถึงความเป็นอยู่ของธรรมชาติที่จะกำลังถูกทำลาย
ด้วยระบบทุนนิยม
ส่วนในเล่มนี้ เป็นการเดินทางจากลุ่มน้ำสามเหลี่ยมทองคำ ผ่านไปตามร่องแม่น้ำโขง ไม่แนใจว่าสิ้นสุดที่ไหน
ตลอดเส้นทางก็จะสร้างงานศิลปะ แล้วบันทึกเป็นภาพเก็บไว้พร้อมกับบรรยายถึงสิ่งที่ต้องการสื่อออกมา ในการเดินทางครั้งนี้ จุดหมายเค้าอีกอย่างคือนำเรื่องราวทั้งหมดมาทำวิทยานิพนธ์ ป.โท ในสาขาศิลปะสมัยใหม่
น่าจะเรียกว่า Modern Art ได้นะ ..
ซื้อเสร็จก็ได้คูปองจากที่ร้านซีเอ็ดมา ว่าซื้อครบสามร้อยได้สแตมป์ 1 ดวง สะสมครบ 10 ด้วย
ก็จะได้พรีเมียมเซ็ท เป็ฯหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ แผ่น DVD ที่คั่นหนังสือแม่เหล็กอีก แต่กว่าจะครบได้
คงหมดเงินไปหลาย ... เอาล่ะมาดูกัน จะทำได้หรือเปล่า....
1/7/51
Painting Course III
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่แล้ว ได้มีโอกาสกลับไปเรียนวาดรูปกับครูเป้สีน้ำอีกครั้ง
เป็นคอร์สสุดท้ายก่อนที่ครูจะเข้าบวช ...
พี่ป้อมโทรมาบอกว่าครูจะสอนคอร์ส advance สุดท้ายหลังจากนั้นจะไปบวชแล้ว
เลยไม่ต้องคิดอะไรตัดสินใจตอบรับทันที แล้วก็โทรไป cancel นัดต่างๆทั้งหมด
ตอนแรกคิดว่าคงต้องโดดเรียนวันเสาร์แล้ว แต่โชคดีที่อาจารย์เปลี่ยนเวลาเรียนมาเป็นตอนเช้า
เลยได้เรียนก่อนเล้วเข้าไปตอนบ่ายแทน
หลังจากเรียนเสร็จด้วยความมึนงง ก็บึ่งรถไป อ.บางเลนทันที
อากาศร้อนพอสมควรเมื่อไปถึงตอนเกือบบ่ายสอง ..
พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้วก็เริ่มลงมือฟื้นความหลังวาดรูป...

คืนนั้นกว่าจะจบกันก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนพอดี คุยกันหลายเรื่องมาก ทั้งชีวิตตอนเด็กของครู เรื่องธรรมะ เรื่องเฉียดตายของแต่ละคน กว่าจะจบก็ขาลายก้นลายกันถ้วยหน้า .. ก้อยุงกัดอ้ะคับ ...
ตอนเช้าได้มีโอกาสไปจ่ายตลาดเช้ากับพี่ป้อม อยากเห็นแหล่งเสบียงมานานแล้วครับ
แต่ตลาดไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ เป็นตลาดในเมืองทั่วไปครับ



หลังจากทานอาหารเช้าจนอิ่มแล้วก็พักผ่อน
เลยได้ถ่ายรูปไว้

.......

.......

....

.....

.....

....

ก่อนเริ่มเรียนมีการ
แสดงดนตรีเรียกน้ำย่อยก่อน
แสดงดนตรีเรียกน้ำย่อยก่อน

คุณครูเริ่มสอนแล้ว

เริ่มต้นด้วยแบบนี้...

ออกมาเป็นแบบนี้

มาจากต้นนี้ครับ ....

ส่วนอันนี้เป็นงานเก่าครับ ..
เอามาให้ดู เพื่อให้เกิดความพยายามกัน...

.....

.....

...

เป็นการวาดรูปแบบใช้สีสามสี
ขั้นแรก จะสเก็ตขึ้นรูปก่อนครับ
.....

ลงพื้นเงาที่มีแสงตกน้อยที่สุด
....

จะเริ่มลงมีแดงเฉพาะบริเวณที่แสงตกกระทบน้อยลง
.....

บริเวณที่ต้องการเน้นเงาของภาพครับ
....

...


...

...
บทสรุปครับ ...
สำหรับการที่ได้ไปวาดรูปครั้งนี้ ทำให้เห็นการพัฒนาฝีมือขึ้น (หรือเปล่าหว่า)
อย่างน้อยก็จากที่ห่างจากการเขียนรูปไปนานหลายเดือน
แล้วได้กลับมาวาดใหม่ วาดได้เท่านี้ก็ถือว่า โอ แล้วน่ะ
ดีใจครับ ที่ได้ไป ดีใจทุกครั้งที่ได้ไป ...
เริ่มจะรู้สึกเหมือนว่าที่นี่เป็นบ้าน เป็นที่พักใจอีกที่นึงแล้วน่ะครับ
ขอบคุณครับ ครูเป้ .. .ที่ทำให้ผมได้พบเจอ
ได้ขุดความเป็นตัวผมที่หายไปตั้งแต่ความเป็นของผมได้จากไป
ขอให้ครูมีความสุขมากๆ น่ะครับ ...
แล้วจะรอวันครูสึก แล้วจะไปนอนที่นั่นอีกครับ
มาดูท้องฟ้ากัน
เคยมองดูท้องฟ้ากันไหมครับ...
ท้องฟ้าเนี่ยมันต้องมีเมฆนะ ผมว่า มันถึงจะเป็นท้องฟ้า
เพราะเมฆเนี่ยทำให้เราได้เห็นความสวยงามของท้องฟ้า
ถ้าเป็นต้อนพระอาทิตย์ตกดิน แสงจะกระทบกับก้อนเมฆ
เกิดเป็นแสงเงา สะท้อนให้เราเกิดอารมณ์
ซึ่งแต่ละคนจะมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน ..



ท้องฟ้าเนี่ยมันต้องมีเมฆนะ ผมว่า มันถึงจะเป็นท้องฟ้า
เพราะเมฆเนี่ยทำให้เราได้เห็นความสวยงามของท้องฟ้า
ถ้าเป็นต้อนพระอาทิตย์ตกดิน แสงจะกระทบกับก้อนเมฆ
เกิดเป็นแสงเงา สะท้อนให้เราเกิดอารมณ์
ซึ่งแต่ละคนจะมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน ..

บางคนเห็นแล้วเกิดความอิ่มใจ
...................
...................

บางคนเห็นแล้วเกิดความเหงา
.............
ทุกครั้งที่ผมมองเห็นท้องฟ้า
แล้วเห็นว่ามันสวยงาม
ผมจะส่งข้อความบอกถึง
ทุกคนที่ผมรู้จัก แล้วก็มีเบอร์อยู่
ให้รีบออกมาดูท้องฟ้าที่สวยงาม
อยากให้รู้สึก
มองเห็นสิ่งสวยงามบนท้องฟ้านั่น
ความสวยงามบนท้องฟ้านั้น
มันจะมีอยู่ไม่นาน ..
มันเปลี่ยนแปลงตลอดทุกวินาที
และมันอาจจะหมดไปได้
ถ้าคุณพลาดมัน ...
.............

แล้วเห็นว่ามันสวยงาม
ผมจะส่งข้อความบอกถึง
ทุกคนที่ผมรู้จัก แล้วก็มีเบอร์อยู่
ให้รีบออกมาดูท้องฟ้าที่สวยงาม
อยากให้รู้สึก
มองเห็นสิ่งสวยงามบนท้องฟ้านั่น
ความสวยงามบนท้องฟ้านั้น
มันจะมีอยู่ไม่นาน ..
มันเปลี่ยนแปลงตลอดทุกวินาที
และมันอาจจะหมดไปได้
ถ้าคุณพลาดมัน ...

ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้าน่ะครับ ... มันต้องมีเมฆ เพื่อให้เราใส่จินตนาการเข้าไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)