23:36 คืนนี้จะเล่าเรื่องท่องเที่ยว จังหวัดสุพรรณบุรีให้ฟังครับ
เนื่องจากวันเสาร์ที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา อากาศแจ่มใส บวกกับอาการเครียด
จากการทำงานมาตลอดอาทิตย์ เลยเก็บของเตรียมกล้องแล้วเริ่มออกผจญภัย
เป้าหมายอยู่ไม่ไกล อยู่ใกล้กรุงเทพไม่เท่าไหร่ แต่ขับรถอ้อมไปไกลประมาณว่า
หลงทาง
พาตัวเองมาอยู่บนทางหลวงหมายเลข 321 มุ่งหน้าเข้าสู่อำเภออยู่ทอง เปิดเแผนที่ดูว่า
มีที่ไหนเที่ยวได้บ้าง สายตาก็เหลือบไปเห็นตำแหน่งวัดพระธาตุ ซึ่งอยู่ทางเข้าตัวเมือง
สุพรรณบุรีพอดี
วัดนี้สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1967-2031 ในรัชสมัยพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ
พระบรมไตรโลกนาถ ภายในวัดจะมีพระปรางค์คล้ายกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่จะมีขนาดย่อมกว่า
มีความสูงประมาณ 20-25 เมตร ปัจจุบันหลงเหลือเพียงพระปรางค์เดี่ยว มีบันไดและซุ้มประตู
ชาวบ้านเรียกวัดนี้กันว่า วัดพระธาตุนอก

จากนั้นก็มุ่งรถเข้าสู่ตัวเมืองสุพรรณ์ โดยแวะต่อกันที่วัดป่าเลไลยก์ วัดนี้เมื่อครั้งรัชการที่ 4 ทรงผนวช
และเสด็จธุดงค์มาพบวัดนี้ซึ่งมีสภาพรกร้างมา ครั้นทรงขึ้นครองราช พระองค์ทรงบูรณะวัดนี้ใหม่อีกครั้ง
ความสำคัญของวัดนี้คือเป็นที่ประดิษฐานพระป่าเลไลยก์ หรือที่เรียกกันว่าหลวงพ่อโต มีพุทธศิลป์แบบอู่ทอง ประทับนั่งห้องพระบาท องค์พระมีความสูง 23.48 เมตร และภายในองค์พระยังบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมาหาเถรไลยลายจำนวน 36 องค์
เชื่อกันว่าหากได้มานมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์แห่งนี้จะทำให้ชีวิตมีแต่สิริมงคล เกิดความสุขกายสบายใจ ชีวิตมีแต่ความเจริญความรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป
จากนั้นก็มุ่งสู่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่เช่นกัน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา องค์พระปรางค์ประธานนั้นรูปแบบศิลปะอู่ทองสุพรรณภูมิ องค์พระปรางค์ประธานเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และยังบรรจุพระเครื่องและพระบูชา ซึ่งถือเป็นวัตถุมงคลหนึ่งในห้าของพระเบญจภาคี ที่ได้รับความนิยมและนับถือศรัทธาในพระพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบันด้วย รู้จักในนาม พระผงสุพรรณอันเลื่องลือ
องค์พระธาตุที่พบพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน
เสร็จจากวัดนี้ก็ไปต่อมี่วัดพระลอย วัดนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะเหลือบไปเห็น
หมู่ลิงและชะนีต่างๆ ถูกขังไว้ในกรง รอให้คนมาเที่ยววัดซื้ออาหารแล้วโยนให้กิน
เห็นแล้วสงสาร มีคนโพสไว้ว่า นี่เหรอเขตอภัยทาน อ่านเจอแล้วอึ้งเหมือนกัน
เจ้าลิงตัวนี้ นั่งเหงาหงอยอยู่
บางครั้งก็ร้องตะโกนลั่น
เหมือนกำลังคุ้มคลั่ง
เห็นแล้วเศร้าใจ
เสร็จจากวันนี้ อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แวะไปให้อาหารปลาต่อมี่วักพระนอน
วัดนี้ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเพราะไปถึงก็เย็นมากแล้ว พระท่านปิดโบสถ์แล้ว
เลยได้แค่ให้อาหารปลา
เสร็จก็ขับต่อไปอีกนิดหน่อย จะเจอวัดหน่อพุทธางกูร ตอนแรกไม่ตั้งใจจะแวะเท่าไหร่
แต่เหลือบไปเห็นว่ามีภาพจิตกรมโบราณเขียนที่ผนัง เลยเลี้ยวรถเข้าไปชม

วัดนี้ถูกสร้างสมับไหนไมม่มีบันทึกไว้ แต่ชาวบ้านล้ำลือว่า ชาวลาวถูกต้อนมาจากเวียงจันทร์
เมื่อคราวกบฎเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. 2369 และได้สร้างสำนักสงฆ์ ต่อมาในสมัยพระลาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มาสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า วัดมะขามหน่อ จนกระทั่งพระครู
สุวรรณวรคุณได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดหน่อพุทธางกูร
อุโบสถวัดหน่อพุทธางกูร มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้ทั้งด้านนอกและด้านในอาคาร
บริเวณประตูทางเข้าเป็นรูปพระเจดีย์จุฬามณี แล้วใช้จิตรกรรมเขียนตกแต่งประกอบ
องค์พระประธาร
ลวดลายจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ
ตอนแรกสงสัยว่า ผืมทอใบลานแผ่นใหญ่ที่แขวนไว้นี้เค้ามีไว้ทำอะไร เลยถามพระท่าน
ท่านตอบมาว่า
อันนี้เค้าเรียกว่าพัด ถ้าเราดึงเชือกเส้นนี้แล้วก็จะโยกใบลานข้างใน ให้พัดเย็นสบาย
โหห ฉลาดจริงๆ เลยคนสมัยก่อน
เสร็จสิ้นไปอีกวันนึงครับกับการท่องเที่ยววัดในเมืองสุพรรณบุรี
ความจริงยังมีโบราณสถานอีกมามายที่ยังไม่ได้เข้าไปชม
ไว้โอกาสหน้าหากมีเวลา จะพาไปเที่ยวอีก ตอนนี้ขอกลับบ้านก่อนล่ะ
นี่สิ วันหยุดของจริง